วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ขุนแผนทูลขอนางลาวทอง

ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย

ฝ่ายขุนช้างรู้ข่าวว่านางวันทองหายป่วย และพลายแก้วที่ไปทัพก็ไม่ได้ข่าวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็คิดจะไปขอนางวันทองอีก จึงไปหาแม่สื่อให้ไปขอนางวันทองให้ตน สื่อและขุนช้าง ก็มาหานางศรีประจันที่บ้าน โดยเอาหม้อกระดูกมาด้วย แล้วบอกว่านี่คือกระดูกพลายแก้ว ซึ่งตายเพราะถูกเจ้าเมืองเชียงทองแทงตาย นางศรีประจันได้ฟังก็ตกใจมาก เรียกนางวันทองออกมาบอกว่าพลายแก้วตายแล้ว นางวันทองออกมาจากห้องเห็นขุนช้างก็โกรธหาว่าขุนช้างแกล้งใส่ร้ายพลายแก้ว ฝ่ายแม่สื่อได้ทีก็เข้าไปกระซิบบอกนางศรีประจันว่า ตามกฎหมายอยุธยานั้น หากใครอาสาไปทัพแล้ว ไม่ชนะกลับมาให้ฆ่าเสีย แต่ถ้าหากตายในการทัพ ให้ริบลูกเมียเข้าหลวง หากจะไม่ให้นางวันทองต้องเป็นหม้ายหลวง ก็ควรจะยกให้ขุนช้างเสีย ขุนช้างนั้นมีเงินทองมากมาย ก็จะสามารถไกล่เกลี่ยให้ดีได้ นางศรีประจันตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงให้มาอีกครั้งในวันแรมสามค่ำ ฝ่ายนางวันทองก็คิดถึงแต่พลายแก้ว โดยไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตาย และตนก็ไม่เคยฝันหรือมีลางร้ายแต่อย่างใด แล้วก็ไม่เคยเข้าตัวเมืองอยุธยาเลย รู้จักแต่คลองบางลางที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ด้วยกัน นางวันทองก็ร้องไห้ไปปรึกษานางสายทอง นางสายทองจึงชวนไปหาขรัวตาจูให้จับยามให้ เมื่อไปถึงจึงถามถึงพลายแก้วว่า พลายแก้วไปทัพยังไม่กลับมา มีคนบอกว่าตายแล้วเป็นความจริงหรือไม่ ขรัวตาจูจับยามดูแล้วว่าคนที่บอกว่าพลายแก้วตายนั้นโกหก แต่พลายแก้วนั้นรบชนะกลับมา และจะได้ความดีความชอบ พร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง นางวันทองกับนางสายทองดีใจมาก กลับมาเล่าให้นางศรีประจันฟังว่า ขรัวตาจูว่าพลายแก้วยังไม่ตาย นางศรีประจันไม่เชื่อกลับบอกว่า การดูด้วยการจับยามจะมาเหมือนกับได้เห็นด้วยตาได้อย่างไร ขุนช้างนั้นถึงรูปจะชั่ว หัวล้านแต่ก็มีเงินทองมากมาย นางวันทองก็โศกเศร้ามากไม่ยอมจะไปเป็นเมียขุนช้าง และบอกกับนางศรีประจันว่า จะไปดูต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้ นางศรีประจันนึกสงสารและกลัวนางวันทองจะผูกคอตายก็ตามใจ ฝ่ายขุนช้างอยู่บ้านไม่เป็นสุข ก็เดินทางมาที่บ้านนางศรีประจัน ได้ยินเสียงดังอึกทึก จึงเข้าไปแอบฟัง รู้ว่านางวันทองไปปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อรู้ที่ปลูกแล้ว ก็กลับมาบ้านพาบ่าวไพร่ไปที่ท่าบางลาง จึงพบว่ามีต้นโพธิ์สามต้นปลูกเรียงกัน มีใบเขียวชอุ่ม จึงตรงเข้าไปโยกต้นโพธิ์ของพลายแก้ว ด้วยต้นโพธิ์ยังอ่อน ก็ทำให้ใบเหี่ยวเฉาลง แล้วขุนช้างก็พาบ่าวไพร่กลับบ้าน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางศรีประจัน ก็ไปที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อไปเห็นต้นโพธิ์เหี่ยวเฉา ก็แน่ใจว่าพลายแก้วตายแล้ว ร้องไห้จนสลบไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางวันทองก็บอกกับนางสายทองว่า ต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย นางสายทองเสียใจมาก แต่บอกนางวันทองว่าอาจจะเป็นแผนชั่วร้ายของขุนช้างก็ได้ เพราะเมื่อตอนเย็นวานนี้เห็นขุนช้างและพวกบ่าวมาแอบอยู่ที่นี่ และลางร้ายใด ๆ ก็ไม่มี ควรจะอยู่เฉย ๆ ไปก่อน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางสายทอง ขนข้าวของไปทำบุญให้พลายแก้วที่วัดป่าเลไลย ขรัวตาจูก็ถามว่า ร้องไห้ร้องห่มกันมานี่บ้านใครเป็นอะไรหรือ นางวันทองกับนางสายทองจึงบอกขรัวตาจูว่า ได้ไปดูที่ต้นโพธิ์ที่อธิษฐานไว้ เห็นต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย จึงเอาข้าวของมาถวายพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ ขรัวตาจูจึงบอกว่าทำบุญไปให้ก็ดี พลายแก้วจะได้กลับมาเร็ว ๆ แล้วก็ให้นางวันทองอธิษฐานให้พบพลายแก้วในวันพรุ่งนี้ นางวันทองจึงว่า หากพลายแก้วไม่ตายจะปลูกกุฎีถวายวัด ขรัวตาจูก็บอกว่าหากในเดือนนี้ไม่มาให้เอาไฟมาเผาวัดได้ นางวันทองกับนางสายทอง ได้ฟังคำของขรัวตาจูที่รับปากหนักแน่นก็ค่อยคลายทุกข์ลง รีบกลับไปบอกนางศรีประจัน ตามคำบอกของขรัวตาจู นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับบอกว่า ขรัวตาจูพูดเช่นนั้นเพราะเห็นแก่ข้าวของที่เอาไปให้

ศรีประจันยกวันทองให้ขุนช้าง

ฝ่ายขุนช้างได้เกณฑ์ผู้คนปรุงเรือนหอใหญ่มีห้องถึงเก้าห้อง เมื่อใกล้เวลาแต่งงานกับนางวันทอง จึงได้ชวนพี่ชื่อศรพระยา มาที่บ้านนางศรีประจัน แล้วบอกว่าได้ปรุงหอเสร็จแล้ว ใหญ่โตเหมือนวิมานของพระอินทร์ แล้วได้ขอให้รื้อเรือนหอของพลายแก้วไปถวายวัด นางศรีประจันเห็นด้วยก็ไปบอกนางวันทองว่า ตนนั้นสงสารพลายแก้วมากจะเป็นตายประการใดก็ไม่รู้ ควรจะรื้อห้องหอไปถวายวัดปลูกกุฎี เพื่อจะได้เป็นบุญแก่พลายแก้ว หากพลายแก้วกลับมาก็ปลูกใหม่ได้ นางวันทองหลงกลก็บอกว่า ตนก็ได้โมทนาไว้ว่าจะไปปลูกกุฎีเช่นเดียวกัน นางศรีประจันจึงรีบออกมาบอกขุนช้างว่า ได้ไปลวงวันทองแล้วเรื่องรื้อเรือนหอ นางวันทองก็ยินยอม ขอให้ขุนช้างกลับไปก่อน แล้วส่งบ่าวไพร่มารื้อเรือน ฝ่ายนางทองประศรีอยู่ที่บ้านเขาชนไก่กาญจนบุรี คอยลูกชายมานานก็ยังไม่เห็นกลับ แล้วก็คิดสงสารนางวันทองว่าจะโศกเศร้ามาก จึงเดินทางไปเยี่ยมนางวันทอง เมื่อไปถึงนางศรีประจันก็ร้องไห้ แล้วบอกว่าพลายแก้วที่ไปทัพนั้นตายแล้ว และนางวันทองต้องเป็นหม้าย ก่อนนั้นก็ล้มป่วยเกือบตาย จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นวันทองก็หายไข้ พอรู้ข่าวว่าพลายแก้วตายก็โศกเศร้าแล้วให้รื้อหอไปถวายวัด นางทองประศรีจึงว่า ใครเป็นคนมาส่งข่าว หากตายก็คงต้องมีข่าวคราวมาบ้าง นางศรีประจันว่า พวกไพร่ที่ไปทัพกลับมาก็ติดคุกอยู่ ขุนช้างได้ข่าวก็มาเล่าให้ฟัง นางวันทองไม่เชื่อไปดูต้นโพธิ์อธิษฐาน ก็เห็นว่าตาย นางวันทองเมื่อรู้ว่า นางทองประศรีมาก็ดีใจออกมาหา แล้วว่าขุนช้างมันมาสอพลอกับแม่ แม่ก็เห็นด้วยยอมยกตนให้เป็นเมีย ตนได้ไปหาขรัวตาจูที่วัดป่าเลไลย ท่านบอกว่าพลายแก้วยังไม่ตาย แต่นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับนัดขุนช้างมาแต่งงานในวันแรมสามค่ำ นางทองประศรีโกรธก็ลงจากเรือนนางศรีประจันมาหาพันโชติ กำนันแดง เล่าให้ฟังแล้วขอเชิญไปเป็นพยาน ฝ่ายพันโชติ กำนันแตง รู้เรื่องก็ไปที่บ้านนางศรีประจัน แล้วว่าพลายแก้วนั้นอาสาไปทัพ และยังไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไร ทำไมจึงวุ่นวายยกลูกสาวให้คนอื่น ขอให้คิดดูให้ดี นางศรีประจันจึงว่า จะเป็นอย่างไรก็ไม่กลัว ใครมีเงินก็จะยกให้ ถึงแม้ว่าพลายแก้วมีชัยชนะกลับมา ก็จะพึ่งพาอะไรได้ นางทองประศรีโกรธมากจึงว่าที่มาขอนางวันทองนั้น เพราะพลายแก้วให้มาขอ ตนได้ห้ามปรามแล้วแต่พลายแก้วไม่ฟัง เพราะหลงรักนางวันทอง หากจะพรากนางวันทองไปจากพลายแก้ว ตนก็ไม่เสียดาย แล้วรีบลงเรือนกลับไป เมื่อถึงวันนัด ขุนช้างก็ให้บ่าวไพร่ขนเครื่องหอมาที่บ้านนางศรีประจัน เมื่อมาถึงก็ลงเสาหมอ และปลูกเรือนหอบนที่เก่าเรือนหอพลายแก้ว นางวันทองเห็นเข้าก็โกรธแค้น ส่วนนางศรีประจันนั้นก็พาบ่าวไพร่มานิมนต์พระไปสวดในตอนเย็น ฝ่ายขรัวตาจูรู้ว่าพลายแก้วยังไม่ตาย ก็บอกให้ฟังข่าวให้แน่ก่อน แล้วบอกว่าพลายแก้วนั้นเป็นหลานได้เลี้ยงดูมา คงจะไปสวดในงานให้ไม่ได้ หากพลายแก้วกลับมาก็จะหาว่าตนรู้เห็นเป็นใจ ให้ไปนิมนต์พระองค์อื่น นางศรีประจันจึงได้มานิมนต์พระที่วัดกลาง และวัดพลับ แทน ฝ่ายนางเทพทองก็ให้ยกขันหมากมาที่บ้านนางศรีประจัน เมื่อถึงตอนเย็น ขุนช้างก็มาถึงบ้านนางศรีประจัน ส่วนนางวันทองไม่ยอมออกจากห้อง นางศรีประจันจึงให้พระสวดมนต์ แล้วประพรมน้ำมนต์เจ้าสาวในห้อง เมื่อพระสวดเสร็จ ขุนช้างก็ให้หาเสภามาขับรับกับมโหรี
รุ่งเช้าขุนช้างลงมาใส่บาตร แต่นางวันทองไม่ยอมออกมา นางศรีประจันจึงบอกว่าตั้งแต่เจ็บคราวก่อน นางวันทองก็ใจคอไม่ดี ขุนช้างจึงบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อขุนช้างนอนเฝ้าหออยู่สามวันแล้ว ก็บอกให้นางศรีประจันส่งตัวนางวันทองมาให้ นางวันทองไม่ยอมจึงถูกนางศรีประจันมัดมือโยงกับหลังคาแล้วตี นางสายทองจึงเข้าห้ามแล้วว่า อย่าหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า ตนจะปลอบน้องให้เข้าหอเอง

พลายแก้วเป็นขุนแผน

ฝ่ายพลายแก้วนั้นได้ปรึกษากับขุนนางไทยลาวอยู่ นายเวรตำรวจก็มาบอกว่า พระพันวษาให้เลิกทัพกลับไปอยุธยา จึงได้สั่งให้พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ ดูแลรักษาบ้านเมืองให้มั่นคง แล้วจึงให้เคลื่อนทัพ นางลาวทองเป็นห่วงพ่อแม่ที่แก่แล้ว ก็ร้องไห้คร่ำครวญมาตลอดทาง ส่วนเจ้าเมืองกำแพงระแหงเถินนั้น ให้ยกทัพล่วงหน้าไปถึงน่าน แพร่ก่อน ส่วนพลายแก้วนั้นมาทางเรือเป็นเวลาเจ็ดวันก็ถึงอยุธยา ให้เจ้าคุณผู้ใหญ่พาเข้าเฝ้า ฝ่ายพระพันวษาเสด็จออกขุนนาง เจ้าคุณผู้ใหญ่จึงบอกว่า พลายแก้วเป็นแม่ทัพไปตีเชียงใหม่ชนะกลับมา พร้อมกับทรัพย์สินที่ยึดกลับมาได้ พระพันวษาตรัสถามเจ้าเชียงทองว่าเป็นสองหน้า ไม่ทำตามที่ถือน้ำพิพัฒน์สัจจาไว้ จะว่าอย่างไร เจ้าเชียงทองจึงทูลว่า โทษของตนนี้ถึงตาย แต่ตนไม่ได้คิดจะเป็นกบถ ที่ทำอย่างนั้นเพราะกลัวภัย ด้วยทัพเชียงใหม่ยกมานับหมื่น หากไม่ยอมก็คงตาย แต่พอทัพไทยไป จึงได้ออกไปนัดกันเข้าตี พระพันวษาไม่เชื่อ ได้ถามพลายแก้ว พลายแก้วจึงบอกว่าเจ้าเชียงทองนั้นพูดความจริง ถึงแม้จะมีความผิดก็คงจะถูกลบด้วยความชอบ พระพันวษายกโทษให้ แล้วตั้งพลายแก้วเป็นขุนแผน ไปรักษาเขตแดนที่ปลายด่าน ประทานเรือยาวเก้าวา และไพร่ห้าร้อย ส่วนคนอื่น ๆ ก็ให้รางวัลตามความดี ความชอบ ฝ่ายพลายแก้วเมื่อได้เป็นขุนนางชื่อ ขุนแผน ก็ดีใจ กราบถวายบังคมพานางลาวทองและสองพี่เลี้ยงลงเรือมา รุ่งเช้าก็ถึงสุพรรณบุรี ไปจอดเรือที่ท่าหน้าบ้านนางศรีประจัน พบสายทอง นางสายทองรีปไปบอกนางวันทองว่าพลายแก้วมาแล้ว นางวันทองรีบมาหาพลายแก้ว กอดเท้าพลายแก้วร้องไห้ พลายแก้วจึงว่าเป็นอะไรไปถึงซูบผอม แล้วแทนที่เห็นตนมาจะดีใจกลับโศกเศร้าเป็นเพราะอะไร นางวันทองจึงว่า ขุนช้างมาบอกนางศรีประจันว่าพลายแก้วไปทัพถูกตีแตกพ่าย แล้วถูกลาวแทงตาย พร้อมกับเอากระดูกมาให้ดู ส่วนตนนั้นไปไปดูโพธิ์อธิษฐาน ก็เห็นใบหล่นเหลือง ตนก็ล้มป่วย แม่จึงไปหาขรัวตาจู ขรัวตาจูทายว่าจะมีเคราะห์ ให้ตนเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง จนโรคหาย ต่อมาขุนช้างได้มาพูดถึงกฏหมายว่าหากผัวไปทัพตาย เมียนั้นต้องถูกเอาไปเป็นหม้ายหลวง แม่นั้นเห็นแก่ทรัพย์สินของขุนช้างจึงยกให้ แล้วรื้อหอเก่าไปถวายวัด แต่ตนไม่ยอมจึงถูกแม่โยงเฆี่ยน ฝ่ายขุนแผนได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก ใคร ๆ ก็รู้ว่านางวันทองเป็นเมียตน ขุนช้างมาทำอย่างนี้ นางศรีประจันก็มาเห็นด้วย น่าจะจิกหัวตีเสียให้เข็ด ดีที่เป็นนางวันทองเป็นคนดีไม่ยอมเข้าหอ การชิงนางพิมไปก็เหมือนควักเอาดวงใจไป แล้วก็สั่งให้บ่าวไพร่ล้อมบ้านไว้ ชักดาบจะไปไล่ฟัน ฝ่ายนางลาวทองแอบอยู่ในม่าน ได้ยินเข้ากลัวขุนแผนจะไปฆ่าใครต่อใคร ก็ออกจากม่านมากั้นขุนแผนไว้ แล้วว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป มีอะไรก็ให้ไปทูลพระพันวษาจะดีกว่า หากไปฆ่าเองอาจเป็นภัยในภายหลังได้ แล้วการที่ฟังความข้างเดียวแล้วมาโกรธก็ไม่ถูก ทำไมขุนช้างเขาจึงไม่กลัว ทั้งที่รู้ว่าเป็นเมียผัวกันอยู่ คงเป็นเพราะแม่ยายยินยอมด้วย เขาจึงกล้า นางวันทองเห็นนางลาวทองมาขัดขวางขุนแผน แล้วพูดห้ามปราม จึงถามขุนแผนว่าเมียใคร หรือเป็นลูกลาวที่เก็บตกได้ระหว่างเดินทัพ ขุนแผนบอกว่า นางลาวทองเป็นเมียของตนเป็นชาวจอมทองพ่อแม่เขายกให้ ที่พามาก็จะให้มาไหว้ แล้วก็ให้นางลาวทองไหว้นางวันทอง ทั้งสองก็ปะทะคารมกันอย่างรุนแรง จนนางวันทองโกรธจะเข้าไปตบตีนางลาวทอง ขุนแผนจึงเข้าขัดขวาง แล้วหาว่านางวันทองไม่กลัวเกรงตน นางวันทองก็ต่อว่า ว่าตนรู้แล้วว่าขุนแผนนั้นไม่ได้รักตนแล้ว จะฆ่าก็ฆ่าเสีย ทำไมจึงแกล้งพามาบ้านเพื่อประจานตนด้วย ว่าแล้วนางวันทองกลับขึ้นจากเรือ แล้วบอกตัดขาดกับขุนแผนแล้วว่า ถึงพระอินทร์ลงมาบอกก็อย่างหวังว่าตนจะกลับมาคืนดี ขุนแผนโกรธจึงว่านางวันทองทำแกล้งพาลว่าตนนั้นผิด เพราะกลัวตนจะขึ้นไปฟันขุนช้าง แล้วแกล้งพาลด่าว่าลาวทอง และมาทะเลาะตัดรอนตน ผัวไปยังไม่ทันพ้นประตูก็รีบคบชู้ แล้วขุนแผนก็ชักดาบจะฆ่านางวันทอง ฝ่ายนางวันทองเห็นก็ตกใจหนีขึ้นบนเรือน แล้วคร่ำครวญว่าเสียแรงที่ครองตัวไว้คอย ไม่เคยมัวหมองเลย พอได้พบผัวก็มีเรื่องขึ้นมา เมื่อเป็นอย่างนี้จะครองตัวต่อไปอีกทำไม บัดนี้ขุนแผนก็ทิ้งตนไปแล้ว คงจะหนีขุนช้างไม่ได้ อายุตนก็เพียงเท่านี้ แต่มีผัวถึงสองคน ต้องอับอายคนไปทั่ว จึงคิดผูกคอตาย ก่อนผูกคอตายอธิษฐานว่า ชาติหน้าก็ให้พบกับขุนแผน แล้วอย่าให้ขุนช้างมาเป็นมารอีกเลย แล้วก็ปีนไปถึงขื่อ ผูกคอแล้วโดดลงมา นางสายทองเข้ามาเห็นพอดีก็ตกใจ รีบเอามีดมาตัดเชือก แล้วตะโกนว่านางวันทองผูกคอตาย ฝ่ายขุนแผนโกรธนางวันทองมาก ไม่ยอมขึ้นไปดูนางวันทอง ก็เดินทางไปบ้านของนางทองประศรี นางทองประศรีเห็นขุนแผนก็ดีใจ แล้วว่าไปพานางวันทองมาทำไม ขุนแผนบอกว่าไม่ใช่วันทอง พร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟัง นางทองประศรีจึงให้ยกให้ขุนช้างไปเสีย แล้วขาดกันตั้งแต่วันนี้ จากนั้นก็หันไปพูดกับนางลาวทอง ฝากผีฝากไข้

ขุนช้างได้นางวันทอง

ฝ่ายขุนช้าง นอนเฝ้าหออยู่ถึงสิบห้าวัน กลุ้มใจมากจนนอนไม่หลับ นางศรีประจันเห็นขุนช้างไม่มีสุข ก็ไปบอกนางวันทองงห้ไปเข้าหอกับขุนช้าง นางวันทองไม่ยอม นางศรีประจันจึงฉุดลากนางวันทองไปจนได้ ขุนช้างเข้าปลุกปล้ำจนได้นางพิมเป็นเมีย นางวันทองอับอายมาก จึงจำใจอยู่กับขุนช้าง แต่พอลับหลังขุนช้างก็คิดถึงแต่ขุนแผน

พิมเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง

ฝ่ายนางพิมนั้นคอยอยู่แต่พลายแก้ว และไม่รู้ข่าวคราวทัพเลย ก็ล้มป่วยลง นางศรีประจัน เห็นนางพิมล้มป่วยลง จึงหาหมอหลายคนมารักษา อาการก็ไม่ดีขึ้น ก็ได้ไปหาขรัวตาจูวัดป่าเลไลย เล่าเรื่องนางพิมให้ฟัง ขรัวตาจับยามดูแล้วบอกว่า ขณะนี้นางพิมมีเคราะห์ร้าย หากไม่จากผัวก็จะตาย ควรจะเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า วันทอง โรคภัยและเคราะห์ร้ายก็จะหมดไป เมื่อกลับถึงบ้าน นางศรีประจันให้จัดพิธีรับขวัญนางพิม แล้วเปลี่ยนชื่อว่านางวันทอง อาการไข้ก็ค่อยหาย กินข้าวกินปลาได้ดังเดิม


ด้วยความแค้นขุนช้าง ขุนแผนจึงขึ้นเรือนขุนช้าง และลักพานางวันทองหนีจากขุนช้าง และพาไปอยู่ด้วยกันจนนางวันทองตั้งครรภ์แล้วพาเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาเพื่อแก้คดี ขุนแผนชนะความขุนช้างต่อมาขุนแผนทูลขอนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษาเป็นเหตุให้สมเด็จพระพันวษากริ้วให้นำขุนแผนไปจำคุก ขุนช้างได้โอกาสจึงฉุดนางวันทองไปอยู่กับตน นางวันทองไปอยู่กับขุนช้างจนคลอดบุตรชายชื่อ พลายงาม ขุนช้างลวงพลายงามซึ่งเป็นลูกของขุนแผนไปฆ่าในป่าแต่ผีพรายบ่าวของขุนแผนมาช่วยป้องกันไว้ นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรีผู้เป็นย่าที่กาญจนบุรี เมื่อพลายงามโตขึ้นได้เล่าเรียนวิชาตามตำราของขุนแผนจนเก่งกล้าสามารถ และได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ต่อมาพระเจ้าล้านช้างได้ถวายนางสร้อยทองพระธิดาแด่สมเด็จพระพันวษาพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาชิงนางไปแล้วมีหนังสือมาท้าสมเด็จพระพันวษา ให้ยกทัพไปชิงนางสร้อยทองคืน พลายงามจึงกราบทูลรับอาสาและขอตัวขุนแผนออกจากคุก เพื่อไปทำศึกกับพระเจ้าเชียงใหม่ต่อไปนี้จะได้อ่านเรื่องขุนช้างขุนแผนตอน พลายงามทูลขอโทษให้ขุนแผน

1 ความคิดเห็น: