วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง

ขุนแผนบอกกล่าว ขุนแผนคิดถึงนางวันทอง
ขุนแผนนั้นมาอยู่กับนางลาวทองที่กาญจนบุรีได้สองคืนแล้ว ก็ให้คิดถึงนางวันทองมาก คิดได้ว่าไม่น่าจะทิ้งนางวันทองไว้กับขุนช้าง คงจะตกเป็นของขุนช้างก็ให้แค้นใจ คิดจะไปหานางวันทองที่สุพรรณบุรี หากพบนางวันทองนอนกับขุนช้าง จะฆ่าให้ตายทั้งสองคน รวมทั้งนางศรีประจัน นางเทพทอง และยายเถ้าแก่สองคนนั้นด้วย รุ่งเช้าจึงเตรียมบ่าวไพร่ที่มีฝีมือไปยี่สิบคน แล้วเข้าไปสั่งนางลาวทองว่า จะไปตรวจตราที่ปลายด่าน ไม่นานจะกลับ แล้วจึงเดินทางไปสุพรรณบุรี พักอยู่ที่ชายป่า ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ ก็ให้ปลูกศาลแล้วจุดเทียนชัยระเบิดศาล พร้อมอ่านพระเวท ปลุกวิชา จากนั้นก็เดินขี่ม้ามาถึงบ้านนางศรีประจันประมาณเวลาสองยาม

ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง

เมื่อลงจากม้าก็ซัดข้าวสารเศกเข้าไปในบ้าน ทำให้พระภูมิเจ้าที่และภูตพรายต่าง ๆ หลับหมด จึงเดินเข้าไปถึงหอขุนช้าง แล้วสะเดาะดาลหน้าต่าง ผู้คนในบ้านพากันหลับกันหมดสิ้น ขุนแผนปีนหน้าต่างเข้าไปในห้อง ตัดม่านออก เมื่อเปิดมุ้งเข้าไปเห็นขุนช้างนอนกอดนางวันทองอยู่ก็โกรธ เงื้อดาบจะฆ่าให้ตาย แต่ได้ยินเสียงจิ้งจกกัก จึงอดใจไว้ไม่ฆ่า แต่เอาเชือกสายม่านผูกทั้งสองไว้ด้วยกันแล้วแก้สะกด คนในบ้านก็ตื่น แล้วขุนแผนให้บ่าวเรียกนางวันทองว่า ขุนแผนมาให้เข็นบันไดออกมารับ
นางสายทองได้ยินเสียงเอะอะก็ลุกออกมา เห็นคนขี่ม้ามากมาย เห็นขุนแผน ก็ลงไปพูดจาว่า วันก่อนนางวันทองผูกคอตาย ตนได้เรียกแต่ขุนแผนก็ไม่มาดู เมื่อขุนแผนไปแล้ว นางศรีประจันก็ทุบตีนางวันทอง แล้วฉุดกระชากไปส่งให้ขุนช้างที่หอ ทำให้นางวันทองต้องเสียตัวเพราะจำใจได้สองวันแล้ว ตนจะไปบอกขุนแผนก็ไม่ได้เพราะทางไกลมาก
ขุนแผนได้ฟังก็เดือดดาล บอกว่าที่เรื่องเป็นอย่างนี้ เพราะตนไม่มีทรัพย์สินมากมายเหมือนขุนช้าง จึงถูกนางศรีประจันมาพรากไป ถึงอย่างไรก็จะเอามาใส่ตระกร้าล้างน้ำก็คงไม่ได้ ไม่ต้องพูดแต่ถึงนางวันทอง หากนานไปนางสายทองคงต้องเป็นเมียขุนแผนเช่นเดียวกัน จะไปทูลพระพันวษาก็ป่วยการ ควรจะต้องฆ่าเสียให้หมดทั้งบ้าน

ขุนแผนบอกกล่าวพันโชติ
เมื่อขุนแผนขึ้นบ้านได้ก็ถามหานางศรีประจัน แล้วไปที่ห้องขุนช้างพูดเยาะเย้ย จากนั้นขุนแผนก็ให้บ่าวไปเชิญพันโชติ ซึ่งเป็นกำนันมาเป็นพยาน แล้วว่าตนกับนางวันทองแต่งงานกันกี่เดือนกี่วัน ท่านก็รู้อยู่ เมื่อไปทัพกลับมาก็ไม่เห็นเรือนหอเก่า เห็นแต่เรือนนี้เป็นของใคร ท่านรู้หรือไม่
พันโชติจึงบอกว่า ตนรู้เรื่องดี เมื่อตอนขุนแผนไปทัพ ขุนช้างได้วานยายกลอยกับยายสา มาหานางศรีประจัน บอกว่าขุนแผนตาย แล้วได้ขอนางพิม ก่อนวันยกขันหมากมา นางศรีประจันกับนางทองประศรีก็ทะเลาะกัน ด้วยนางทองประศรีทัดทานไว้เพราะยังไม่รู้ว่าขุนแผนตายหรือไม่ แต่นางศรีประจันไม่ฟัง นางทองประศรีจึงกลับไป เมื่อขุนแผนได้ฟังพันโชติเล่าเรื่องทุกอย่างแล้ว ก็รู้ว่าที่นางวันทองพูดนั้นเป็นความจริง และนางวันทองอุตส่าห์ครองตัวคอย แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องเป็นเช่นนี้ ประกอบกับตนหุนหันพลันแล่น จึงทำให้ขุนช้างได้นางพิมไป แต่ก็ยังสงสัยในตัวนางวันทองว่า เมื่อขุนช้างได้ไปแล้ว จะเอากลับคืนมาเป็นเมียก็คงจะตะขิดตะขวงใจ แต่ก็จะปล่อยไปก็จะได้ใจ ก็จะต้องขู่ให้รู้ว่าทำผิด


ขุนแผนต่อว่านางศรีประจัน
ขุนแผนสั่งให้พันโชติไปตามนางเทพทอง ยายกลอย และยายสา มา เมื่อมากันครบทุกคนแล้ว ขุนแผนจึงถามนางศรีประจันว่า เมื่อก่อนนั้นได้มาขอนางวันทองแล้วก็ได้ยกให้ ครั้นเมื่อไปรบทัพที่เมืองเชียงทอง ก็ยังมีเรือนหอ ทั้งได้ฝากนางวันทองไว้ ซึ่งการไปทัพครั้งนี้ก็ไม่ได้หย่าร้างกัน ทำไมจึงไปยกให้ขุนช้างอีก หรือเพราะเห็นว่าตนยากจน ส่วนขุนช้างร่ำรวย ทั้งยังรื้อหอเก่าไปถวายวัด แล้วสร้างขึ้นใหม่อีก นางศรีประจันก็บอกว่ายายกลอยกับยายสา มาบอกว่าขุนแผนตายแล้ว ทั้งยังเอากระดูกมาให้ดู แล้วก็ขอนางวันทองให้ขุนช้าง เพราะกลัวจะต้องไปเป็นหม้ายหลวง วันทองก็ไม่ยอม อยู่ถึงสิบห้าคืน จึงได้เข้าหอไปเมื่อสองวันนี้เอง ยังไม่สึกหรออะไร หากไม่รังเกียจก็เอาคืนไป ฝ่ายยายกลอยกับยายสานั่งฟังอยู่ ก็พูดขึ้นว่า พวกตนไม่ได้มาพูดเอาเอง นางเทพทองวานให้มาพูด เขาสอนมาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น นางเทพทองตกใจรีบบอกว่า ที่ตนพูดอย่างนั้นเพราะขุนช้างได้บอกไว้ จึงหลงเชื่อ ฝ่ายขุนแผนเห็นทุกคนกลัวจนตัวสั่นงันงกก็กลั้นหัวเราะ แล้วกล่าวว่า เมื่อคิดจะทำก็ไม่เห็นกลัว ตอนที่นางทองประศรีมาห้ามปราม ทั้งนางเทพทองและนางศรีประจันก็ดึงดัน แล้วกลับท้าให้ไปฟ้องร้อง ทำไมตอนนี้กลับมากลัว แล้วก็เรียกให้ขุนช้างออกมา นางศรีประจันก็ตะโกนเรียก ขุนช้างก็ตอบออกมาว่า ตนถูกผูกติดกับนางพิมไว้ออกมาไม่ได้ ขุนแผนจึงเป่ามนต์สะเดาะกลอน เข้าไปเห็นทั้งขุนช้างและนางวันทองถูกผูกรวมกันอยู่ก็ตกใจรีบไปตัดเชือกให้ แล้วนางศรีประจันก็บอกขุนช้างไปว่า ขุนแผนมาแล้ว หากเขาไปกราบทูลพระพันวษาก็ฉิบหายกันหมด เมื่อกี้ขุนแผนได้ว่าหากพูดดี ๆ ก็จะไม่ฆ่าและถือว่าเป็นมิตรกัน แล้วให้ขุนช้างไปขอโทษขุนแผน แล้วอีกอย่างหนึ่งตอนนี้ขุนแผนมีเมียใหม่ ก็คงไม่คิดเสียดายนางวันทองนัก ขุนช้างไม่กล้าออกมา เพราะกลัวขุนแผนจะฆ่า จึงได้ชวนให้วันทองออกไปด้วย โดยว่าขุนแผนคงไม่โกรธจนถึงกับฆ่าฟัน เพราะคงเห็นแก่นางวันทอง แต่นางวันทองไม่ยอมออกมาด้วย


ขุนแผนต่อว่าขุนช้าง
เมื่อขุนแผนเห็นขุนช้างเข้ามากราบตน ก็เกิดความแค้นขึ้นมาอีก จึงถามว่า นางวันทองนี้เป็นเมียตน เมื่อไปทัพยังไม่กลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าหย่าร้าง จะได้มาซื้อขายกันได้ การที่มารื้อหอแล้วมาปลูกแทนโดยอ้างว่าตายแล้ว ทั้งยังเอากระดูกห่อผ้ามา แล้วทำให้ต้นโพธิ์ตายนั้น เพื่อจะได้อยู่กับนางวันทองจะแก้ตัวว่าอย่างไร ขุนช้างกลัวมากได้แต่กอดขุนแผนไว้ แต่ไม่ยอมตอบ ขุนแผนรู้สึกขัดใจมาก ก็ร้องถามนางวันทองว่า ตนมาถึงแล้วทำไมถึงซ่อนตัวอยู่แต่ในห้อง นางวันทองไม่ยอมออกมาแต่ไม่ตอบ รีบขัดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนา เพราะกลัวขุนแผนจะเข้ามา

ขุนแผนต่อว่านางวันทอง
ขุนแผนถือดาบจะเข้าไปในห้อง ขุนช้างจึงเข้าดึงไว้ ขุนแผนจึงบอกว่า ให้ระวังตัวให้ดีจะมาฆ่าทั้งสองคน และที่ไม่พูดเพราะได้ตัดขาดกันไปแล้วตั้งแต่วันก่อนหรือ แต่ตัวเรายังคงคิดถึงความหลังอยู่ และไม่คิดว่านางวันทองจะตัดได้ลง แล้วพอไปแล้วก็ไปอยู่กับขุนช้างได้ โดยไม่คิดถึงความหลังเลย

"สำคัญจิตว่าจะคิดอยู่บ้างเล่า
ไม่ทันรู้ว่าเจ้าจะสิ้นอย่าง
ตัดปลียังมีอาลัยยาง
เจ้านี้จางจืดแล้วก็ลืมไป
เมื่อแรกเชื่อว่าเนื้อทับทิมแท้
มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ
ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา
คิดว่าหงส์เราจึงหลงด้วยลายย้อม
ช่างแปลงปลอมท่วงทีดีหนักหนา
ดังรักถิ่นมุจลินท์ไม่คลาดคลา
ครั้นลับตาฝูงหงส์ก็ลงโคลน
โสมมมอมเคล้าแต่เน่าชั่ว
เจ้าถอดหัวเปลี่ยนได้ดังเล่นโขน "


ขุนแผนเมื่อตัดพ้อนางวันทองแล้วก็กลับไปยังกาญจนบุรี

ตั้งแต่นางลาวทองถูกพรากไป ก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอีก เฝ้าแต่คิดถึงนางลาวทองอยู่ทุกวัน แล้วคิดแค้นขุนช้างขึ้นมาอีก ว่าเมื่อครั้งที่ชิงนางวันทองไป ก็ไม่เคยว่ากล่าวสักคำให้ขุนช้างขุ่นเคือง แต่ยังกลับมายุยงทำให้ต้องพรากจากนางลาวทองไปอีก ถ้าไม่แก้แค้นก็จะไม่หายแค้น เหมือนดังสุภาษิตที่ว่า ใครคดก็ให้ต่อต้านด้วยความแข็ง หากใครซื่อก็ให้ซื่อตอบจนวันตาย พรุ่งนี้จะไปสุพรรณบุรี ไปลักพานางวันทองมา
รุ่งขึ้นขุนแผนได้ไปบอกลานางทองประศรี จะไปแก้เผ็ดขุนช้าง โดยจะลักพานางวันทองไป หากขุนช้างตามมาก็จะฆ่าให้ตาย นางทองประศรีจึงบอกว่าตนไม่เห็นด้วย เพราะรังเกียจนางวันทอง ด้วยเป็นคนรูปงามแต่ใจทราม

"วันทองหมองแม้นเหมือนแขวนเพชร แตกเม็ดกระจายสิ้นเป็นสองสาม
จะผูกเรือนก็ไม่รับกับเรือนงาม แม่จึงห้ามหวงเจ้าเพราะเจ็บใจ"

ขุนแผนก็ตอบนางทองประศรีว่า ที่แม่ว่านั้นก็เป็นความจริง แต่เมื่อวันที่ได้ไปถึงสุพรรณหลังกลับจากทัพมานั้น นางวันทองได้เล่าความจริงให้ฟัง แต่ตนกลับโกรธแล้วหุนหันมาไม่ยอมฟัง จนนางวันทองเสียใจผูกคอตาย แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็ยังนึกถึงความหลังอยู่ เมื่อนางลาวทองอยู่ก็ไม่ได้นึกถึงนางวันทองเลย และขุนช้างกลับมาพรากไปเสีย ก็อยากลองดีดูสักครั้ง ขอให้นางทองประศรีอวยพรให้ด้วย
นางทองประศรีฟังแล้ว เห็นว่าทัดทานขุนแผนไม่ได้ก็อวยชัยให้พร เมื่อเสร็จกิจแล้วให้กลับบ้าน ขุนแผนรับพรแล้วก็ขึ้นไปแต่งตัวบนหอพระนารายณ์ แล้วเป่ามนต์มหาละลวยในน้ำมันจันทน์ แล้วทาตัวให้คนเห็นรักใคร่

"ขึ้นหอพระนารายณ์ระงับจิต เอาเทียนติดธูปถวายทั้งซ้ายขวา
ลงหินฝนจันทน์น้ำมันทา ใครเห็นกายาให้ยวนใจ
สอดใส่สนับเพลาม่วงดวงวิหค นุ่งยกแย่งทองผ่องใส
รอยจีบกลีบกระหวัดรัดละไม เสื้อสั้นชั้นในล้วนเลขยันต์
เสื้อนอกดอกช่อฉลุทอง ตระพองทับเจียรบาดคาดมั่น
แหวนถักพระพิรอดสอดพัน สังวาลคั่นเครื่องสลับกับผมพราย
จับประเจียดประจุประจงโพก ได้มหาสิทธิโชคสำคัญหมาย"

ขุนแผนเรียกโหงพรายไปด้วย แล้วขี่ม้าสีหมอกไปยังบ้านขุนช้าง เมื่อไปถึงใกล้บ้านขุนช้างก็ตัดไม้ปลูกศาลขึ้น ทำพิธีเชิญเทวดามาเป็พยานว่า จะมาทำลายล้างขุนช้าง เพราะขุนช้างแย่งชิงเมียมา หากที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งโกหกขอให้ทำการใดไม่สำเร็จ เมื่อทำพิธีเสร็จก็ขี่ม้ามาบ้านขุนช้างก็เห็นมีเขื่อนคูรอบบ้าน และผู้คนนั่งตามไฟเฝ้าระวังอยู่ และมีผีพรายห้านางเฝ้ารอบบ้าน เมื่อเห็นโหงพรายของขุนแผนก็เข้าต่อสู้กัน ขุนแผนถือดาบฟ้าฟื้น แล้วซัดข้าวสารที่ย้อมด้วยว่านอาคมสาดเข้าไป นางพรายทั้งห้ารู้ว่าขุนแผนเป็นคนมีวิชา จึงแปลงกายเป็นคนเข้าไปถาม ขุนแผนก็รู้ว่าพรายแปลง ก็ไม่กลัวบอกว่า ตนคือผัวนางวันทอง ขุนช้างได้ลักพามาเป็นเมีย ขอให้นางช่วยเปิดประตูให้ด้วย นางพรายจึงว่า ขุนช้างเลี้ยงดูพวกตนมา ควรจะทดแทนบุญคุณไม่ควรจะเนรคุณ ขุนแผนจึงซัดข้าวสารไปอีก เหล่านางพรายก็หนีไป

ขุนแผนได้นางแก้วกิริยา

ขุนแผนก็ขี่สีหมอกข้ามคูไปจนถึงเรือนของขุนช้าง แล้วจึงไปที่ชานของบ้าน ซึ่งปลูกดอกไม้ไว้สวยงาม เมื่อถึงห้องก็สะเดาะกลอนเข้าไปพบนางแก้วกิริยานอนหลับอยู่ ก็รู้ว่าไม่ใช่ห้องของนางวันทอง คิดว่าเป็นเมียน้อยของขุนช้าง ก็เข้าไปร่ายมหาละลวยแล้วคลายมนต์สกดจนนางแก้วกิริยาตื่นขึ้น เห็นขุนแผนก็ตกใจถามว่า ท่านเป็นใครรูปร่างหน้าตาก็คงจะไม่เป็นโจร ขุนแผนได้ยินนางแก้วกิริยาถาม จึงตอบว่า ตัวพี่เป็นทหารของพระพันวษาชื่อขุนแผน มาตามหานางวันทองซึ่งเคยเป็นเมีย แล้วถูกขุนช้างที่เป็นเพื่อนลักเอามาเป็นเมีย แล้วถามนางว่า นางเป็นใคร จึงมาอยู่ที่บ้านขุนช้าง ฝ่ายนางแก้วกิริยาเมื่อรู้ว่าเป็นขุนแผน และเห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาดี จึงนึกว่า เหตุใดนางวันทองไม่อยากอยู่ด้วย และคิดว่าหากไม่บอกความจริง ขุนแผนอาจทำร้ายได้ จึงแกล้งพูดว่า อย่ามาทำเป็นแกล้งยอ เพราะตนคงจะไปแข่งกับนางวันทองไม่ได้ และตนเป็นเพียงบ่าว ที่พ่อมาขายฝากไว้ด้วยต้องการเงินสิบห้าชั่ง

"เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง มิใช่ยูงจะมาย้อมให้เห็นขัน
หิ่งห้อยฤาจะแข่งแสงพระจันทร์ อย่าปั้นน้ำให้หลงตะลึงเงา"

ขุนแผนได้ฟังก็สงสารแล้วก็แก้ห่อเงินมอบให้ พร้อมกับเล้าโลมจนได้นางแก้วกิริยาเป็นเมีย แล้วขุนแผนก็ถอดแหวนเพชรให้นางแก้วกิริยาไว้ดูต่างหน้า และถามถึงห้องของนางวันทอง เมื่อนางแก้วกิริยาบอกแล้วขุนแผนก็เดินถือดาบฟ้าฟื้นขึ้นไปที่หอกลาง เมื่อถึงก็สะเดาะกลอนเข้าไปในห้อง เห็นม่านที่ปักด้วยไหมสวยงามถึงสามชั้น ก็รู้ว่าเป็นฝีมือของนางวันทอง

ขุนแผนชมเรือนขุนช้าง

"ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ จำได้ไม่ผิดในตาพี่
เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว

รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
ปักเป็นยุราลงรำร่อน ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา
ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
วินันตกหัศกันเป็นหลั่นมา การวิกอิสินธรยุคนธร
อากาศคงคาชลาสินธุ์ มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน
ไกรลาสสะอาดเอี่ยมอรชร ฝูงกินรคนธรรพ์วิทยา"

"ถึงม่านชั้นสามดูงามพริ้ม ฝีมือพิมเจ้าทำพี่จำได้
ยืนพิศม่านน้องต้องติดใจ ฉลาดนักปักไว้เป็นคาวี"

เมื่อยืนดูม่านก็ยิ่งแค้นใจ ขุนแผนก็ฟันม่านจนขาด แล้วเข้าไปตลบมุ้งขึ้น เห็นขุนช้างนอนกอดนางวันทองอยู่ ก็เงื้อดาบจะฟันทั้งสองคน กุมารทองปัดดาบแล้วกราบขอโทษขุนแผน และบอกว่าอย่าทำให้ถึงตายเอาแค่เจ็บ และอายเท่านั้นจะดีกว่า ขุนแผนคลายความโกรธลงแล้วคลายมนต์ นางวันทองตื่นขึ้นตกใจกลัว(แต่ไม่ลืมตา) คิดว่าขุนแผนเป็นขุนช้าง แล้วเล่าความฝันให้ฟัง ขุนแผนจึงทำนายฝันให้ฟัง นางวันทองฟังเสียงก็ยังจำไม่ได้ จึงเอามือลูบคลำ รู้ว่าไม่ใช่ขุนช้างเพราะมีรูปร่างผอมบางก็ตกใจ ขุนแผนแค้นใจจึงต่อว่า ตนนั้นจำวันทองได้เสมอ แต่ทำไมนางจำตนไม่ได้ คงจะลืมเรื่องราวทีไร่ฝ้ายแล้วกระมัง ได้ผัวดีมีเงินมากมายก็เลยลืมผัวเก่า

"เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ไร่ฝ้าย
พี่เคี้ยวหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน
เจ้ามาได้ผัวดีมีทรัพย์มาก มาลืมเรือนเพื่อนยากแต่เก่าก่อน
หลงเชิงขุนช้างช่างชะอ้อน กอดท่อนซุงสักสำคัญคน"

นางวันทองเมื่อได้ฟังคำตัดฟ้อเรื่องไร่ฝ้าย ก็จำได้ว่าเป็นขุนแผน ก็หันไปปลุกขุนช้างแล้วว่า มัวแต่นอนอยู่ ไม่กลัวพระกาฬจากเมืองกาญจนบุรีหรือ ขุนแผนก็กล่าวหาว่านางตระบัดสัตย์ นางวันทองให้มีความเจ็บแค้นใจมากจึงว่า ตนยังจำความหลังทั้งหมดได้ ที่ขุนแผนเรียกนางลาวทองมาตบตน และแขวนหนังสือด่าไว้ว่าเหมือนกากี ที่ตนต้องเสียตัวให้ขุนช้างก็เพราะขุนแผนไม่เคยใยดีด้วย ที่มานี่เพราะนางลาวทองไปแล้วหรืออย่างไร จึงกลับมาหาเมียเก่า

"นี่ลาวทองจากห้องไปแล้วฤๅ จึงถึงดื้อเดือดมาเวลาค่ำ
ไม่ตามใจขัดใจจึงเพ้อพำ นี่อดน้ำแล้วสิเลี้ยวมากินตม"