วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อ ขุนช้างขุนแผน

เรื่องย่อ ขุนช้างขุนแผน

กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายรับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อ นางเทพทอง มีลูกชายชื่อ ขุนช้าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กำเนิด และครอบครัวของพันศรโยธา เป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ นางพิมพิลาไลย วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็เป็นไข้ป่าตาย เมื่อพลายแก้วอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมาที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมโกรธ ต่อมาเณรพลายแก้วก็สึกแล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมและแต่งงานกัน ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามาราถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ห่างไกลนางพิม สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมาแล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้ชัยชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของพลายแก้ว ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีจากไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดป่าเลไลยแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย นางวันทองไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่แต่นางไม่ยอมเข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็นแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พานางลาวทองกลับสุพรรณบุรีนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจ ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่า นางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหาดภรรยา สมเด็จพระพันวษาโกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวัง ส่วนขุนแผนให้ไปตระเวนด่านห้ามเข้าวังอีกทำให้ขุนแผนแค้นขุนช้างมากคิดช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา จึงออกหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ กุมารทอง และม้าฝีเท้าดี ขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจรของหมื่นหาญก็สมัครเข้าเป็นสมุน วันหนึ่งได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย หมื่นหาญจึงยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของขุนแผน ต่อมาหมื่นหาญเห็นขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่าตนก็คิดกำจัด โดยสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าขุนแผน แต่โหงพรายมาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนก็ผ่าท้องนางควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากนั้นก็ทำพิธีตีดาบฟ้าฟื้นและไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ ม้าสีหมอก แล้วขุนแผนก็ไปที่บ้านของขุนช้างสะกดคนให้หลับหมดแล้วขึ้นไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิด จึงพบนางแก้วกิริยาและได้นางเป็นภรรยา จากนั้นก็ไปปลุกนางวันทองพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไป ขุนช้างไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์ให้ทหารตามจับขุนแผน แต่ถูกขุนแผนฆ่าตายไปหลายคน ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนอยู่ในป่าจนนางตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้างจนชนะคดี ขุนแผนนางวันทอง และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุข แต่ขุนแผนนึกถึงนางลาวทองจึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ให้ขอตัวนางจากสมเด็จพระพันวษาทำให้พระองค์โกรธว่าขุนแผนกำเริบจึงสั่งจำคุกขุนแผนไว้ นางแก้วกิริยาตามไปปรนนิบัติขุนแผนด้วย ส่วนนางวันทองพักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างจึงพาพรรคพวกมาฉุดนางวันทองไปเป็นภรรยาอีก ต่อมานางก็คลอดลูกชาย แล้วตั้งชื่อให้ว่าพลายงาม ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนก็เกลียดชัง วันหนึ่งจึงหลอกพาเข้าไปในป่าทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้ โหงพรายของขุนแผนมาช่วยได้ทัน นางวันทองจึงให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรีพลายงามได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อเชี่ยวชาญ ขุนแผนจึงพาไปฝากไว้กับหมื่นศรี เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ ทางฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้ทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาพระเจ้าล้านช้างระหว่างที่เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา เพราะพระเจ้าล้านช้างต้องการเป็นไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัวแล้วพระเจ้าเชียงอินทร์ยังส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย พลายงามได้โอกาสจึงอาสาออกไปรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันทำศึก ขุนแผนจึงพ้นโทษ ในขณะที่กำลังเตรียมทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชาย ขุนแผนตั้งชื่อว่า พลายชุมพล แล้วขุนแผนกับพลายงามก็คุมทัพมุ่งสู่เชียงใหม่ ขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือ เมื่อครั้งขุนแผนกับนางวันทองเข้ามอบตัว พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางเป็นภรรยา จากนั้นก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่ได้ชัยชนะ ครั้นกลับถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนแผนได้เป็นพระสุรินฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี พลายงามได้เป็นจมื่นไวยวรนาถ และสมเด็จพระพันวษาก็ยกนางสร้อยฟ้าธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพร้อม ๆ กับนางศรีมาลา พระไวยอยากให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงไปลักพานางวันทองมาขุนช้างเคืองมากไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา จึงมีการไต่สวนคดีกันอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดสมเด็จพระพันวษาก็ถามความสมัครใจของนางว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาหาว่านางเป็นหญิงสองใจจึงสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามการประหารไม่ทัน ในครอบครัวของพระไวยก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง จึงมักจะมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ นางสร้อยฟ้าเจ็บใจจึงให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักนาง แล้วนางสร้อยฟ้าก็หาเรื่องใส่ความให้พระไวยตีนางมาลา พลายชุมพลเข้าไปห้ามก็ถูกตีไปด้วย พลายชุมพลน้อยใจจึงหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรีเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วหนีต่อไปหายายที่สุโขทัย ได้บวชเณรและเล่าเรียนอยู่ที่นั้น ฝ่ายขุนแผนรีบไปที่บ้านของพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยไม่เชื่อหาว่าพ่อเล่นกลให้ดู และพูดลำเลิกบุญคุณที่ช่วยพ่อออกมาจากคุกขุนแผนแค้นมากประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วกลับกาญจนบุรีทันที พลายชุมพลเรียนวิชาสำเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผนจแก้แค้นพระไวย โดยพลายชุมพลสึกจากเณรปลอมเป็นมอญ ใช้ชื่อ สมิงมัตรา ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาถึงสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษา ให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถูกจับได้พระไวยจึงต้องยกทัพไปและต่อสู้กับพลายชุมพล ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาพระองศ์จึงให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอหมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้เสน่ห์จึงคลาย ตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วสะเดาะโซ่ตรวนหนีไป ในการไต่สวนคดีนางสร้อยฟ้า ไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน ในที่สุดก็มีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟนางสร้อยฟ้าแพ้ถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลาไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาสั่งประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้ จึงเพียงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่เช่นเดิม ระหว่างเดินทางก็พบเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงเดินทางไปด้วยกัน กลับถึงเชียงใหม่ได้ไม่นานกนางก็ให้กำเนิดลูกชาย ชื่อพลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร พระเจ้าเชียงอินทร์ ตั้งเถรขวาด เป็นพระสังฆราชเพื่อตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้าที่กลับบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดยังแค้นพลายชุมพล จึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา แปลงเป็นจระเข้อาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงไปมากมาย พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ ไดตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธิ์ นับจากนั้นเป็นตนมาทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุข

ตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผน

ตัวละครในเรื่องขุนช้างุนแผน

1. ขุนแผน เดิมชื่อพลายแก้ว มีรูปร่างหน้าตางดงามคมสัน สติปัญญาเฉลียวฉลาด นิสัยเจ้าชู้ มีดาบฟ้าฟื้นเป็นอาวุธประจำตัว พาหนะคู่ใจคือ ม้าสีหมอก พ่อเป็นทหารชื่อ ขุนไกรพลพ่าย แม่ชื่อ นางทองประศรี ได้บวชเณรและเรียนวิชาที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย สุดท้ายไปเป็นศิษย์สมภารคง วัดแค จนมีความรู้ทางโหราศาสตร์ ปลุกผี อยู่ยงคงกระพัน คาถามหาละลวยทำให้ผู้หญิงรัก ตลอดจนวิชาจากตำรับพิชัยสงคราม และยังมีความสามารถเทศ์ได้ไพเราะจับใจอีกด้วย ต่อมาสึกจากเณรแล้วแต่งงานกับนางพิมพิลาไลย ไม่นานก็ถูกเรียกตัวไปเป็นแม่ทัพรบกับเชียงใหม่ ครั้นได้ชนะกลับมาก็ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้าน แต่ปรากฏว่าภรรยาแต่งงานใหม่แล้ว ขุนแผนต้องโทษถูกจำคุกถึง ๑๕ ปี จึงพ้นโทษ และทำสงครามกับเชียงใหม่อีกครั้ง เมื่อชนะกลับมาก็ได้ตำแหน่งเป็นพระสุริทรฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี
ขุนแผนเจ้าชู้มากจึงมีภรรยาหลายคน คือ

1. นางวันทอง มีลูกด้วยกันคือ พลายงาม
2. นางลาวทอง
3. นางแก้วกิริยา มีลูกด้วยกันคือ พลายชุมพล
4. นางสายทอง
5. นางบัวคลี่ มีลูกด้วยกันคือ กุมารทอง
2. ขุนช้าง

“ จะกล่าวถึงขุนช้างเมื่อรุ่นหนุ่ม หัวเหมือนนกตะกรุมล้านหนักหนา
เคราคางขนอกรกกายา หน้าตาดังลิงค่างที่กลางไพร ”
ขุนช้าง มีลักษณะรูปชั่วตัวดำ หัวล้านมาแต่กำเนิด นิสัยเจ้าเล่ย์เพทุบาย ได้ชื่อว่าขุนช้างเพราะตอนคลอดนั้น มีผู้นำช้างเผือกมามอบให้สมเด็จพระพันวษา พ่อชื่อ ขุนศรีวิชัย แม่ชื่อ นางเทพทอง มีฐานะร่ำรวยมาก แม้จะเกิดมาเป็นลูกเศรษฐี แต่ก็อาภัพ ถูกแม่เกลียดชังเพราะอับอายที่มีลูกหัวล้าน จึงมักถูกแม่ด่าว่าอยู่เสมอ และไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะเป็นที่ขบขันล้อเลียนของชาวบ้านทั่วไปเสมอ แต่เป็นที่รักของญาติพี่น้อง เพราะตั้งแต่ขุนช้างเกิดมาครอบครัวก็ร่ำรวยขึ้น พอเป็นหนุ่มก็ได้นางแก่นแก้ว เป็นภรรยา อยู่ด้วยกันได้ปีกว่านางก็ตาย จึงหันมาหมายปองนางพิมพิลาไลย แต่งงานกับนางสมใจปรารถนา

3. นางพิมพิลาไลย หรือ วันทอง

“ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแม้น อรชนอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา
ผมสลวยสวยขำดำเป็นเงา ให้ชื่อว่าเจ้าพิมพิลาไลย”

นางพิมพิลาไลย เป็นหญิงรูปงาม แต่ปากจัด พ่อชื่อ พันศรโยธา แม่ชื่อ นางศรีประจัน ต่อมารได้แต่งงานกับพลายแก้ว ซึ่งภายหลังมีลูกชายด้วยกัน คือ พลายงาม ครั้นพลายแก้วไปทำสงคราม นางก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจู วัดป่าเลไลย ตรวจดูดวงชะตาและแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็น นางวันทอง อาการไข้จึงหายต่อมานางถูกแม่บังคับให้แต่งงานใหม่กับขุนช้าง นางต้องถูกประณามว่าเป็นหญิงสองใจ เมื่อมีคดีฟ้องร้องถึงสมเด็จพระพันวษา และพระองค์ให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใคร แต่นางตัดสินใจไม่ถูกจึงถูกสั่งให้ประหารชีวิต

นางวันทองเป็นธิดาคนเดียวของพันศรโยธา และนางศรีประจัน ครอบครัวของนางวันทองเป็นตระกูลพ่อค้าที่มีฐานะดีพอสมควร นางจึงได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี นางวันทองมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม อรชนอ้อนแอ้น กิริยามารยาทแช่มช้อย ซึ่งความสวยของนางนั้นปรากฏให้เห็นชัดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และยังมีผมสวย ดังที่กวีพรรณนาไว้ว่า

"ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแบน อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา
ผมสลวยสวยขำงามเงา ให้ชื่อเจ้าว่าพิมพิลาไลย"

เมื่อนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งมีความสวยงามยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ขุนแผนและขุนช้างมีจิตใจผูกพันรักใคร่ ส่งผลให้เกิดเรื่องราววุ่นวายตามมามากมาย นางวันทอง เดิมชื่อนางพิมพิลาไลย เป็นนางเอกในเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน (เปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อแก้เคล็ดให้หายป่วย ตอนขุนแผนไปรบ) นางถูกยื้อไปแย่งมาระหว่างขุนแผน และขุนช้าง จนในที่สุดพระพันวษาต้องให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใครระหว่างขุนแผนหรือขุนช้าง แต่นางวันทองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะแม้ขุนแผนจะเจ้าชู้จนมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งหึงหวงกันอยู่เสมอ แต่ก็เป็นรักแรกและยังมีลูกด้วยกันคือพลายงามอีกด้วย

ลักษณะนิสัย

เนื่องจากนางวันทองมีโอกาสใกล้ชิดกับนางศรีประจัน นางจึงได้รับลักษณะนิสัยบางอย่างของนางศรีประจันมา เช่น เป็นคนเจ้าคารมโวหาร ใช้ถ้อยคำประชดประชันเสียดสี ปากกล้า โดยเฉพาะเมื่อเกิดอารมณ์โมโห นางจะหลุดถ้อยคำหยาบ ๆ ออกมาได้มากมาย
นางวันทอง มีลักษณะสาวชาวบ้านจึงเป็นคนซื่อ ไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก ทำอะไรก็ทำตามประสาหญิงชาวบ้าน เมื่อโตเป็นสาวก็เริ่มคิดเรื่องคู่ครอง อันเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติ แต่สังคมไทยมีความจำกัดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของประเพณี จึงทำให้ดูเหมือนว่านางวันทองไม่รักนวลสงวนตัว อย่างไรก็ตาม นางวันทองก็ยังมีภาพลักษณ์ด้านดีที่เห็นได้ชัด คือ ความละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการรับรู้ถึงความดีของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อนาง ดังจะเห็นได้จากถึงแม้นางจะไม่ได้รักขุนช้างแต่ด้วยความดีของขุนช้างและความผูกพันที่อยู่กันมา 15 ปี ทำให้นางเป็นห่วงเป็นใยความทุกข์สุข และความรู้สึกของขุนช้างไม่น้อย หรือ อารมณ์ที่ละเอียดอ่อนในการเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี เช่น ความประณีตในการปักม่าน นอกจากนี้นางวันทองยังเป็นคนกล้าที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง มีน้ำใจเมตตา และให้อภัยโดยไม่เคียดแค้น

4. พายงาม
พลายงาม มีตำแหน่งทางราชการเป็นจมื่นไวยวรนาถ ซึ่งมักเรียนกันสั้น ๆ ว่า พระไวย หรือหมื่นไวย เป็นลูกของขุนแผนกับนางวันทอง แต่ไปคลอดที่บ้านของขุนช้าง เพราะนางถูกฉุดไปขณะที่ท้องแก่ ยิ่งโตพลายงามก็ยิ่งละม้ายคล้ายคลึงกับขุนแผนมากขึ้น ทำให้ขุนช้างเกลียดมาก วันหนึ่งจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่โหงพรายของขุนแผนมาช่วยไว้ นางวันทองจึงให้ไปอยู่กับนางทองประศร ีที่กาญจนบุรีพลายงามได้เรียนวิชาจากตำราของพ่อจนเชี่ยวชาญ มีความสามารถเช่นเดียวกับขุนแผนต่อมาได้อาสายกทัพไปรบกับเชียงใหม่ แล้วถือโอกาสขออภัยโทษให้ขุนแผนออกจากคุกได้ เมื่อกลับมาจากสงครามก็ได้ตำแหน่งเป็นจมื่นไวยวรนาถ และมีภรรยาสองคน คือ นางศรีมาลา และนางสร้อยฟ้า

5. นางลาวทอง

นางลาวทอง เป็นลูกของแสนคำแมน นายบ้านจอมทอง แห่งเชียงใหม่ แม่ชื่อนางศรีเงินยวง พ่อยกนางให้เป็นภรรยาของพลายแก้วเพื่อตอบแทนบุญคุณที่กองทัพของพลายแก้วไม่ได้รุกรานผู้คนในหมู่บ้านให้เดือนร้อน พลายแก้วพานางกลับมาที่กรุงศรีอยุธยาด้วย เมื่อได้ตำแหน่งขุนแผนแสนสะท้านแล้ว ก็พานางไปที่สุพรรณบุรี ครั้นได้พบกับนางวันทองก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง ขุนแผนโกรธที่ถูกนางวันทองพูดก้าวร้าวล่วงเกิน จึงพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ต่อมานางป่วยหนักขุนแผนจึงออกจากวังมาเยี่ยม ทำให้ขุนช้างมีโอกาสใส่ความขุนแผน นางจึงถูกพรากเข้าไปอยู่ในวังทำหน้าที่ปักสะดึงกรึงไหม แต่เมื่อขุนแผนขออภัยโทษให้นางเป็นอิสระ สมเด็จพระพันวษาก็ไม่พอใจสั่งจำคุกขุนแผนไว้ นางลาวทองจึงต้องพลัดพรากจากขุนแผนเป็นเวลานานถึง ๑๖ ปีจนกระทั่งขุนแผนพ้นโทษจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก

6. นางบัวลี่

นางบัวคลี่ เป็นลูกสาวของหมื่นหาญกับนางสีจันทร์ นางมีรูปโฉมงดงามราวกับสาวชาววัง เจ้าเมืองกรมการแห่งกาญจนบุรีรู้กิตติศัพท์ความงามาของนางก็ส่งคนมาสู่ขอ แต่พ่อของนางไม่ยอมยกให้ เมื่อขุนแผนเดินทางไปเสาะหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ กุมารทอง ดาบ และม้าฝีเท้าดี ได้มาพบนางบัวคลี่เข้าก็มีความพอใจ จึงฝากตัวเข้าเป็นสมุนกับพ่อของนาง และได้นางเป็นภรยา จนนางตั้งท้อง ต่อมาพ่อของนางเห็นว่าขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่า ก็เกรงว่าจะถูกยึดอำนาจ จึงสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าขุนแผนเสีย นางก็เชื่อฟังพ่อยอมกระทำตาม แต่ขุนแผนรู้ตัวเสียก่อนก็แค้นเคืองที่นางคิดไม่ซื่อ จึงแกล้งทำเป็นถูกพิษและไม่สบาย ครั้นนางนอนหลับก็ใช้มีดผ่าท้องของนางควักเอาลูกในท้องออกมาทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง

7. นางสายทอง

นางสายทอง เป็นพี่เลี้ยงของนางพิมพิลาไลย ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงมีความรักใคร่สนิทสนมกันมาก เหมือนเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ นางช่วยเป็นแม่สื่อให้พลายแก้วกับนางพิมพิลาไลยรักกัน และรู้เห็นเป็นใจให้คนทั้งสองแอบไปพบกันหลายครั้ง ต่อมานางก็ตกเป็นภรรยาของพลายแก้วด้วย นางสายทองเป็นเพื่อนคอยปลอบใจยามที่นางพิมพิลาไลยเศร้าโศก เพราะความอาลัยรักและห่วงไยพลายแก้วที่จากไปทำสงครามในแดนไกล แต่นางไม่เคยมีโอกาสอยู่ร่วมกับพลายแก้วอย่างใกล้ชิดในฐานะสามีภรรยาเลย แม้ว่าพลายแก้วจะมีหน้าที่ราชการสูงขึ้น ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้านและได้เลื่อนเป็นพระสุริทรฤาไชย นางสายทองก็ยังอยู่กับนางศรีประจันแม่ของนางพิมพิลาไลยเช่นเดิม

8. นางแก้วกิริยา

นางแก้วกิริยา เป็นลูกของพระยาสุโขทัยกับนางเพ็ญจันทร์ พ่อพานางมาขายฝากให้เป็นทาสของขุนช้างเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ขุนช้างนึกเอ็นดูจึงเลี้ยงนางไว้เป็นเหมือนน้องสาว ขุนแผนหาของสำคัญสามอย่าง คือ ดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง และม้าสีหมอก ได้ครบแล้ว คืนหนึ่งก็บ้านของขุนช้างเพื่อลักตัวนางวันทองไป แต่เข้าห้องผิดไปเข้าห้องของนางแก้วกิริยาและได้นางเป็นภรรยา ก่อนจากกันขุนแผนมอบแหวนให้นางไว้ดูต่างหน้าและให้เงินไปไถ่ตัวจากขุนช้างด้วย ตลอดเวลานางเป็นภรรยาที่ดีและซื่อสัตย์ต่อขุนแผนเสมอ ยามที่ขุนแผนมีเคราะห์ต้องโทษถึงจำคุก นางก็ตามไปคอยปรนนิบัติดูแลอยู่จนพ้นโทษซึ่งกินเวลาถึง ๑๕ ปี นางมีลูกชายกับขุนแผนคือ พลายชุมพล

9. นางศรีมาลา

นางศรีมาลา เป็นลูกของพระพิจิตรกับนางบุษบา นางเป็นหญิงที่งดงามทั้งรูปร่างหนน้าตา กิริยามารยาท และงามน้ำใจ นางได้พบและรักกับพลายงาม ตอนที่พลายงามกับขุนแผนยกทัพไปทำสงครามกับเชียงใหม่แล้วแวะเยี่ยมพ่อแม่ของนาง หลังจากเสร็จสงคราม นางได้แต่งงานกับพลายงามพร้อมกับนางสร้อยฟ้า นางได้รับความรักจากพลายและนางทองประศรีมากกว่าจึงทำให้นางสร้อยฟ้าอิจฉา นางสร้อยฟ้าจึงทำเสน่ห์ให้พลายงามหลงใหลและเกลียดชังนางศรีมาลา ทำให้นางปวดร้าวขมขื่นใจมากบางครั้งก็ถูกพลายงามทุบตีเพราะเชื่อที่นางสร้อยฟ้าใส่ความ ครั้นนางสร้อยฟ้าต้องโทษประหารชีวิต นางศรีมาลาก็ใจอ่อน ช่วยขออภัยโทษให้ นางสร้อยฟ้าจึงเพียงแต่ถูกเนรเทศไป ต่อมานางศรีมาลาก็ให้กำเนิดลูกชาย ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร

10. นางสร้อยฟ้า

นางสร้อยฟ้า เป็นธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่กับนางอัปสร นางสร้อยฟ้ามารูปโฉมงดงามมาก แต่กิริยามารยาทไม่เรียบร้อย นิสัยขี้อิจฉา เมื่อเชียงใหม่แพ้สงคราม สมเด็จพระพันวษาก็ยกนางให้แต่งงานกับพลายงามพร้อมกับนางศรีมาลา นางสร้อยฟ้าเจ็บใจที่พลายงามรักนางศรีมาลามากกว่า จึงให้เถรขวาดทำเสน่ห์ แล้วแกล้งหาเรื่องให้นางศรีมาลาถูกพลายงามทุบตี ต่อมาพลอยชุมพลก็แก้ไขได้ หลังจากที่พิสูจน์ได้ว่านางสร้อยฟ้าผิดจริง ก็ถูกสั่งให้ประหารชีวิต แต่นางอ้อนวอนให้นางศรีมาลาช่วย ขออภัยโทษ โดยอ้างอิงถึงลูกในท้องที่จะต้องตายไปกับนางด้วย นางจึงเพียงแต่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม ไม่นานต่อมานางก็คลอดลูกชายชื่อ พลายยง

11. สมเด็จพระพันวษา

สมเด็จพระพันวษา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ยุคนี้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีความอุดมสมบูรณ์ ราษฎรทั้งหลายอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขบรรดาประเทศใกล้เคียงก็ยอมอ่อนน้อม เพราะยำเกรงบารมี สมเด็จพระพันวษามีนิสัยโกรธง่าย ดังเช่นเมื่อขุนไกรต้อนควายป่ามาเข้าคอกให้พระองค์ล่า แต่ควายตื่นตกใจหนีเตลิด ขุนไกรจึงใช้หอกไล่แทงควายตายไปมากมาย สมเด็จพระพันวษาก็โกรธสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรทันที แต่พระองค์ก็นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความยุติธรรมต่อพวกทหาร เสนาอำมาตย์ และราษฎรพอสมควร เมื่อมีคดีฟ้องร้องกัน ก็จะให้มีการไต่สวน และพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ชัดเสียก่อนจึงจะลงโทษ เช่น ในคราวที่นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์ให้จมื่นไวยวรนาถ (พลายงาม) หลงรักแล้วถูกจับได้ แต่ไม่มีพยานยืนยัน สมเด็จพระพันวษาก็ให้ลุยไฟพิสูจน์ จนรู้แน่ว่านางสร้อยฟ้าเป็นฝ่ายผิดจึงได้สั่งลงโทษ

12. ขุนไกร

ขุนไกรพลพ่าย แต่งงานกับนางทองประศรี แล้วมีลูกชายด้วยกัน ชื่อ พลายแก้ว ขุนไกรมีความรู้ทางคงกระพันชาตรี รับราชการทหารมีไพร่พลในบังคับบัญชา ๗๐๐ คน คราวหนึ่งสมเด็จพระพันวษาประสงค์จะล่าควายป่า สั่งให้ขุนไกรปลูกสร้างพลับพลา และต้อนควายป่าเข้าคอกเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นพากันแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก และยังไล่ขวิดคนอีกด้วย ขุนไกรจึงคว้าหอกไล่แทงควายตายไปมากมาย ที่เหลือก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธ หาว่าขุนไกรแกล้งแทงควายเล่นสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย แล้วให้รีบทรัพย์สมบัติทั้งหมด รวมทั้งภรยา ลูกและข้าทาสบริวารด้วยขุนไกรเป็นห่วงภรรยาและลูกจึงขอร้องให้เพื่อนสนิทคือ หลวงฤทธานนท์ไปส่งข่าวด้วย นางทองประศรีจึงพาลูกหนีไปได้ก่อนที่พวกทหารจะไปจับกุมตัว
13. นางทองประศรี

นางทองประศรี เดิมเป็นชาวบ้านวัดตะไกร พอแต่งงานกับขุนไกรพลพ่ายก็ย้ายไปอยู่กินด้วยกันที่สุพรรณบุรี แล้วให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง คือ พลายแก้ว นางเป็นหญิงที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว ทรหดอดทน แต่ปากร้าย ในคราวที่ขุนไกรผู้เป็นสามีประสบเคราะห์กรรมถึงถูกประหารชีวิต นางทองประศรีรู้ข่าวแล้วก็รีบพาลูกหนีระหกระเหินเข้าป่ามุ่งหน้าไปหาญาติของขุนไกรที่กาญจนบุรี แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินอย่างขยันขันแข็งค่อยเก็บหอมรอมริม จนมีฐานะดีขึ้น และเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวอย่างเอาใจใส่คอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีอยู่เสมอ
14. ขุนศรีวิชัย

ขุนศรีวิชัย รับราชการเป็นนายกรมช้างกองนอก เป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี มีภรรยาชื่อ นางเทพทอง และมีลูกชายด้วยกันชื่อ ขุนช้าง ต่อมานายโจรจันศรยกพวกเข้าปล้นบ้าน ขุนศรีวิชัยกระโดดลงจากบ้านหนีมาช่วย แต่จำนวนคนน้อยกว่าพวกโจร ขุนศรีวิชัยจึงถูกจับตัวได้ พวกโจรรุมกันฟันแทง แต่อาวุธไม่ระคายผิว หอยผิว หอกดาบเหล่านั้นกลับหักหมด พวกโจรจึงช่วยกันจับแล้วใช้หลาวสวนทวารจนขุนศรีวิชัยขาดใจตาย
15. นางเทพทอง

นางเทพทอง เป็นแม่ของขุนช้าง มีนิสัยปากจัด ด่าเก่งตอนตั้งท้องขุนช้างนั้น นางฝันว่ามีนกตะกรุมคาบช้างเน่ามาให้ ขุนศรีวิชัยผู้เป็นสามีทำนายฝันให้ว่าจะได้ลูกชาย มีวาสนาดี ทำให้พ่อแม่ร่ำรวยขึ้น แต่จะต้องขายหน้าเพราะหัวล้านตั้งแต่เกิด เมื่อคลอดลูกแล้วปรากฏว่าลูกชายของนางหัวล้านจริง ๆ หน้าตาก็ไม่น่ารัก นางนึกอับอายขายหน้าเพื่อนบ้าน จึงเกลียดชังขุนช้าง ไม่ใคร่จะอุ้มชูเลี้ยงดูลูกเหมือนแม่คนอื่น ๆ มิหนำซ้ำยังด่าแช่งเว้นแต่ละวัน
16. พันศรโยธา

พันศรโยธา มีภรรยาชื่อ นางศรีประจัน มีลูกสาวสวยชื่อ นางพิมพิลาไลย พันศรโยธามีฐานะดีเป็นเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองสุพรรณบุรี มีอาชีพเป็นพ่อค้า เดินทางไปค้าขายต่างเมืองบอยู่เสมอ ต่อมาไปค้าขายที่ละว้า พอกลับมาถึงบ้านก็ป่วยหนัก อยากกินแต่พวกเนื้อหมู เนื้อวัวพล่า นางศรีประจันพยายามรักษาพยาบาล อาการก็ดีขึ้นเพียงชั่วคราวแล้วก็เป็นอีก ทุกคนลงความเห็นว่าถูกผีเข้า ในที่สุดก็สิ้นใจตาย
17. นางศรีประจัน

นางศรีประจัน เป็นแม่ของนางพิมพิลาไลยหรือนางวันทองนั่นเอง นางเป็นคนปากจัด ด่าเก่ง และเอาแต่ใจตนเอง ขุนช้างมาบอกข่าวว่าพลายแก้วตาย และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกจับกุมตัวเข้าวังเป็นม่ายหลวง นอกจากรีบแต่งงานใหม่เสีย แล้วขุนช้างก็เอาเงินทองมีค่ามาล่อใจ นางศรีประจันจึงคิดให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง แม้ว่านางวันทองกับคนอื่นๆ จุพยายามคัดค้านแต่นางศรีประจันใสใจ บังคับให้นางวันทองแต่งงานใหม่กับขุนช้างจนได้ การกระทำของนางทำให้ลูกสาวต้องมีสามีถึงสองคน และมีเหตุวุ่นวายแย่งตัวนางวันทองกัน ผลสุดท้ายนางวันทองถูกประหารชีวิต
18. พลายชุมพล

พลายชุมพล เป็นลูกของขุนแผนกับนางแก้วกิริยา เป็นน้องของพลายงาม เมื่อขุนแผนเป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรี นางทองประศรีก็ขอมาเลี้ยงไว้ที่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เด็ก ๆ ครั้นเกิดเรื่องหึงหวงกันระหว่างนางศรีมาลากับนางสร้อยฟ้า พลายชุมพลก็หนีไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรี แล้วหนีต่อไปหายายที่สุโขทัย ได้บวชเณรและเรียนวิชาล่องหนหายตัว ดำดิน เสกหุ่นหญ้า อยู่ยงคงกระพัน สำเร็จวิชาแล้วก็สึกจากเณรปลอมตัวเป็นมอญ ใช้ชื่อว่า สมิงมัตรา ยกทัพหุ่นหญ้าเสกมาสมทบกับขุนแผนเพื่อจับตัวพลายงาม พลายงามรู้ตัวรีบหนีไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์จึงเรียกตัวมาสอบถามแล้วมอบให้พลายชุมพลสืบหาคนทำเสน่ห์จนสามารถแก้ไขได้สำเร็จ ต่อมาก็อาสาไปปราบเถรขวาดซึ่งแปลงเป็นจระเข้มาอาละวาดฆ่าคน และจับตัวเถรขวาดได้สมเด็จพระพันวษาจึงแต่งตั้งให้เป็นหลวงนายฤทธิ์
19. กุมารทอง

กุมารทอง คือ ผีเด็ก ซึ่งเป็นลูกของขุนแผนกับนางบัวคลี่ เมื่อขุนแผนรู้ตัวว่านางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าตนก็ทั้งรักทั้งแค้น พอนางนอนหลับก็ใช้มีดผ่าท้องแล้วอุ้มเด็กในท้องของนางไปทำพิธีย่างไฟให้แห้งสนิทในโบสถ์พระประธาน ปลุกเสกด้วยคาถาอาคมขลังจนลุกขึ้นนั่งได้ ขุนแผนตั้งชื่อว่า กุมารทอง กุมารทองนี้ติดตามขุนแผนไปทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีใครมองเห็นตัว คอยรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ขุนแผนรู้อยู่เสมอ บางครั้งก็แปลงร่างเป็นคนได้อีกด้วย เช่น คราวที่พลายชุมพลหนีย่าไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรี กุมารทองก็แปลงร่างเป็นเด็กเดินไปเป็นเพื่อนชวนคุย ชวนชมนกชมไม้ให้เพลิดเพลิน จนถึงบ้านของขุนแผนอย่างปลอดภัย

20. ม้าสีหมอก

สีหมอก เป็นม้าแสนรู้พาหนะประจำตัวของขุนแผน แม่เป็นม้าเทศชื่อ อีเหลือง พ่อเป็นม้าน้ำ คลอดจากท้องแม่เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำ ตัวสีหมอก ตาสีดำ หลวงศรีวรข่านได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระพันวษาให้ไปซื้อม้าที่เมืองมะริด ประเทศอินเดีย สีหมอกซึ่งเป็นลูกม้ารุ่นหนุ่มก็ติดตามแม่มาด้วย แต่ความซุกซนทำให้เที่ยวไล่กัดม้าตัวอื่นๆ อยู่เสมอ จึงทำให้ถูกคนดูแลม้าไล่ตีเอาเนือง ๆ ขุนแผนไปพบเข้าที่เพชรบุรี เห็นสีหมอกมีลักษณะดี ต้องตามตำราจึงเข้าไปขอซื้อ แล้วเสกหญ้าให้กิน สีหมอกก็ติดตามขุนแผนไปโดยดี
21. เถรขวาด

เถรขวาด เป็นพระภิกษุลาว มีคาถาอาคมขลัง ชอบฉันสุราจนเมามาย เดิมอยู่วัดที่เชียงใหม่ พระเจ้าเชียงอินทร์ขอให้มาอยู่เป็นเพื่อนนางสร้อยฟ้าที่กรุงศรีอยุธยาเพื่อคอยช่วยเหลือยามเดือดร้อน โดยไปอาศัยที่กุฏิร้างในวัดพระยาแมนกับเณรจิ๋วรับปราบภูตผีปีศาจ รดน้ำมนต์ และรักษาโรคให้ชาวบ้าน เถรขวาดช่วยทำเสน่ห์ให้พลายงามหลงใหลนางสร้อยฟ้า ต่อมาถูกพลายชุมพลจับตัวได้และแก้เสน่ห์สำเร็จ แต่เถรขวาดก็สะเดาะโซ่ตรวนพาเณรจิ๋วหนีไปได้ แล้วแปลงเป็นจระเข้คอยฟังข่าวนางสร้อยฟ้าอยู่ในแม่น้ำจนพบกัน ขณะที่นางถูกเนรเทศให้เดินทางกลับเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงอินทร์ให้บำเหน็จความดีความชอบ โดยตั้งให้เป็นพระสังฆราช เถรขวาดยังผูกใจเจ็บพลายชุมพล จึงแปลงเป็นจระเข้ใหญ่อาละวาดกัดคนในกรุงศรีอยุธยาตายไปมากมาย พลายชุมพลรับอาสามาปราบ แล้วจับเถรขวาดได้ สมเด็จพระพันวษาสั่งให้ประหารชีวิตเสีย

22. เณรจิ๋ว

เณรจิ๋ว เป็นลูกศิษย์ของเถรขวาดซึ่งติดตามมาจากเชียงใหม่ มาอยู่ที่วัดพระยาแมนด้วยกัน เณรจิ๋วรู้เห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องของเถรขวาดตลอดเวลา แต่ความที่ต้องการเรียนวิชาจากเถรขวาด จึงยอมอยู่ด้วย และคอยช่วยเหลือเมื่อเข้าที่คับขัน เณรจิ๋วมีสติปัญญาเฉียวฉลาด เห็นว่าเถรขวาดกับตนบิณฑบาตได้อาหารน้อยจนไม่พอฉันก็เที่ยวไปบอกเล่าชาวบ้านว่าเถรขวาดอาจารย์ของตนมีวิชาดี รักษาโรคได้ปราบภูตผีปีศาจได้ พวกชาวบ้านมีศรัทธาจึงพากันมาขอเครื่องรางของขลัง ขอยา บ้างก็มาให้รดน้ำมนต์ และนำอาหารคาวหวานมาถวายทุกวัน เมื่อเถรขวาดจะแปลงเป็นจระเข้มาแก้แค้นพลายชุมพล เณรจิ๋วก็พยายามตักเตือน แต่เถรขวาดไม่เชื่อ ในที่สุดจึงต้องตาย
23. หลวงตาจู

ขรัวตาจู คือ พระภิกษุชรา อยู่ที่วัดป่าเลไลย สุพรรณบุรี เก่งทางดูฤกษ์ยามทำนายทายทักโชคชะตาได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังมีเวทย์มนต์คาถาอาคมขลังอีกด้วย คราวที่นางพิมพิลาไลยเจ็บหนัก ขรัวตาจูก็แนะนำให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวันทอง แล้วอาการเจ็บไข้ได้ป่ายก็หายและเมื่อขุนช้างมาบอกข่าวว่าพลายแก้วตายแล้ว นางวันทองก็รีบไปหาขรัวตาจูที่วัดทันทีเพื่อให้ช่วยตรวจดูดวงชะตาของพลายแก้ว ขรัวตาจูทำนายว่าพลายแก้วจะชนะศึกกลับมา ได้ข้าวของเงินทองและเชลยมามากมาย ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงตามคำทำนายของขรัวตาจูทุกประการ

24. โหงพลาย

โหงพราย เป็นผีที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ใช้ โดยไปทำพิธีปลุกขึ้นมาจากป่าช้าตั้งแต่ยังเป็นพลายแก้วและเพิ่งสึกจากเณร พวกโหงพรายรับใช้ขุนแผนอย่างซื่อสัตย์ตลอดมา ตอนที่ยังไม่มีม้าสีหมอกก็ได้อาศัยขี่คอโหงพราย เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว และคอยกระซิบเตือนเมื่อจะมีภัย เช่น คราวที่นางบัวคลี่วางยาพิษในอาหารนอกจากนั้นยังช่วยปกป้องคุ้มครองญาติใกล้ชิดของขุนแผนด้วย เคยช่วยเหลือพลายงามไว้ ตอนที่ถูกขุนช้างหลอกไปฆ่าในป่า และช่วยนางศรีมาลาคราวที่สมเด็จพระพันวษาให้นั่งเรือไปรับขุนแผนกันพลายชุมพลเข้าวังเพื่อสอบสวนคดีทำเสน่ห์แล้วนางสร้อยฟ้าสั่งให้พรรคพวกไปดักซุ่มฆ่านางศรีมาลาระหว่างทาง

25. ขุนรามอินทรา

ขุนรามอินทรา ได้เคยสาบานเป็นเพื่อนตายกับขุนช้างขุนแผน พระหมื่นศรีและขุนเพชรอินทรา ครั้งที่ขุนช้างทูลฟ้องสมเด็จพระพันวษาว่าขุนแผนบุกขึ้นเรือนตนลักพาวันทองไป สมเด็จพระพันวษาทรงเห็นว่าไม่ควรฟังความข้างเดียว จึงรับสั่งให้พระหมื่นศรีกับจมื่นไวยเป็นแม่ทัพ ให้ขุนรามอินทราเป็นปีกซ้าย ขุนเพชรอินทราเป็นปีกขวาคุมทหารห้าพันคนไปดูร่องรอยที่บ้านของขุนช้าง และไปตามตัวขุนแผนมาเข้าเผ้าให้ได้ ถ้าขุนแผนดื้อดึงก็ให้ตัดหัวเสียบประจานไว้ในป่าเสียเลย คืนนั้นเอง ภรรยาของขุนรามอินทราฝันว่าฟันหักไปสามซี่นางตกใจตื่นขึ้นเล่าให้สามีฟัง ขุนรามอินทราก็พยายามปลอบให้ภรรยาเลิกคิดกังวล ครั้นรุ่งเช้าแต่งกายเสร็จเดินลงจากบ้าน ก็มีเหตุอัศจรรย์บันไดหักทีเดียวห้าขั้นขุนรามอินทราสังหรณ์ใจว่าไปคราวนี้คงต้องตายเป็นแน่ แต่ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ เมื่อยกทัพไปพบขุนแผนในป่าและต่อสู้กันขุนรามอินทราก็ถูกขุนแผนฟันตกจากหลังช้างสิ้นใจตาย

26. จมื่นศรีาวรักษ์

จมื่นศรีสาวรักษ์ ซึ่งมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า หมื่นศรี เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของสมเด็จพระพันวษา เป็นผู้ที่สมเด็จพระพันวษาไว้วางใจมาก มักมอบหมายให้ทำงานต่าง ๆ อยู่เสมอ หมื่นศรีทำหน้าที่ฝึกงานให้ขุนแผนกับขุนช้าง เมื่อเข้ารับราชการในวังใหม่ ๆ รักและเอ็ดดูขุนแผนมาก ได้ให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ ขุนแผนก็ซาบซึ้งในบุญคุณถึงกับเรียกหมื่นศรีว่า คุณพ่อ ครั้งขุนแผนพานางวันทองออกจากป่ามามอบตัวสู้คดี หมื่นศรีก็ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้าน พอพลายงามโตขึ้นเรียนวิชาสำเร็จ ขุนแผนก็พาไปฝากไว้กับหมื่นศรีอีก ซึ่งหมื่นศรีก็รับอุปการะไว้และพาเข้ารับราชการกับสมเด็จพระพันวษาเมื่อมีโอกาส

27. หมื่นหาญ

“สูงเกือบสี่ศอกตากลอกโพลง
หนวดโง้งงอนปลายทั้งซ้ายขวา
ขอบตาแดงฉาดดังชาดทา
เนื้อแน่นหนังหนาดูน่ากลัว
ผมหยิกหยักศกอกเป็นขน
ทรหดอดทนมิใช่ชั่ว
ปลุกเสกเครื่องฝังไว้ทั้งตัว
เป็นปมปุ่มไปทั่วทั้งกายตน”

หมื่นหาญ เดิมชื่อ นายเดช มีฉายาว่ากระดูกดำ เป็นหัวหน้าโจรอยู่ที่บ้านถ้ำ กาญจนบุรี มีวิชาดีไม่ว่าปืนหรืออาวุธอื่นใดก็ไม่อาจระคายผิวได้ มีภรรยาชื่อ นางสีจันทร์ มีลูกสาวคนเดียวชื่อ นางบัวคลี่ ต่อมาหมื่นหาญเป็นคนขี้ระแวง ดังนั้นพอรู้ว่าขุนแผนมีวิชาเหนือกว่าตนก็ไม่พอใจ สั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าเสีย แต่นางบัวคลี่ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของขุนแผน เนื่องจากขุนแผนรู้ตัวเสียก่อน

28. ศรพระยา

ศรพระยา มีศักดิ์เป็นพี่ชายของขุนช้าง เพราะเป็นลูกชายของป้า ซึ่งมีด้วยกัน 3 คน คือ พันศร ศรพระยา และราทยา เฉพาะศรพระยา และราทยานั้นมักติดตามขุนช้างอย่างใกล้ชิด ทำทุกอย่างตามแต่ขุนช้างจะใช้ จึงเป็นที่ขบข้นของชาวบ้านที่ได้พบเห็นอยู่เสมอ เพราะศรพระยากับราทยาก็หัวล้านเช่นเดียวกับขุนช้าง มิหนำซ้ำยังมีกิริยาท่าทางกระโดกกระเดกคล้ายกันอีกด้วย ครั้งที่ขุนแผนต้องโทษจำคุก ศรพระยาก็เป็นผู้นำข่าวไปบอกขุนช้าง และยุยงให้ไปรับนางวันทองกลับมาอยู่ด้วยกันอีก













กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่สงบสุข มีเมืองขึ้นมากมายและมีเรื่องราวของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิมพิลาไลย เกิดขึ้นที่เมืองสุพรรณบุรี สมัยที่สมเด็จพระพันวษาครองกรุงศรีอยุธยา มีชายคนหนึ่งชื่อ ขุนไกร อยู่ที่บ้านพลับได้แต่งงานอยู่กินกับนางทองประศรี ชาวบ้านแถววัดตะไกร ต่อมาขุนไกรย้ายไปรับราชการทหารที่เมืองสุพรรณบุรี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนายกรมช้างกองนอก ชื่อ ขุนศรีวิไชย ได้เมียชื่อนางเทพทอง อยู่ที่บ้านท่าสิบเบี้ย เมืองสุพรรณบุรี และพันศรโยธา มีเมียชื่อ นางศรีประจัน เป็นชาวบ้านท่าสิบเบี้ยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นนางศรีประจัน ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ นางบัวประจัน มีผัวเป็นชาว บางเหี้ย ชื่อนายโชดคง ไม่มีอาชีพนอกจากเป็นโจร เที่ยวขโมยควายของชาวบ้าน วันหนึ่งนางเทพทอง เกิดฝันประหลาด ขุนศรีวิไชยทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย ฝ่ายนางทองประศรี ฝันว่าพระอินทร์เหาะลงมายื่นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ให้ ขุนไกรทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย ซึ่งภายภาคหน้าจะได้เป็นทหารใหญ่ ส่วนนางศรีประจัน ก็ฝันเช่นเดียวกันโดยฝันว่า พระวิษณุกรรม เหาะเอาแหวนมาให้ และพันศรโยธาทำนายฝันว่า จะได้ลูกสาวที่มีความสวยงามมาก ต่อมาทั้งสามก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นางเทพทองคลอดบุตรเป็นชายหัวล้านได้ชื่อว่า ขุนช้าง นางทองประศรีคลอดบุตรเป็นชายรูปร่างหน้าน่ารัก ได้ชื่อว่า พลายแก้ว และนางศรีประจันคลอดบุตรเป็นหญิง ได้ชื่อว่า พิมพิลาไลยเด็กทั้งสามนี้เป็นเพื่อนเล่นกันมา ครั้งหนึ่งขณะเล่นกันอยู่ พลายแก้วเกิดอุตริชวนขุนช้างและนางพิม เล่นผัวเมีย ขุนช้างเห็นด้วย นางพิมไม่อยากเล่น พลายแก้วคะยั้นคะยอให้เล่น โดยบอกว่า ให้เล่นเป็นเมียขุนช้างไปพลาง ๆ แล้วตนจะไปลักมาจากขุนช้าง นางพิมจึงยอมเล่น ซึ่งนับว่าเป็นลางที่จะต้องเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ทำให้เทวดาดลใจ ให้คิดเล่นผัวเมียขึ้นมา เมื่อขุนช้างโตขึ้น ขุนศรีวิไชยได้พาไปถวายตัวกับ สมเด็จพระพันวษา เป็นกษัตริย์ที่มีพระบรมเดชานุภาพมาก เมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ และส่งราชบรรณการมาให้มิได้ขาด และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีจริยธรรม ปกครองกรุงศรีอยุธยาและบรรดาเมืองขึ้น ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ซึ่งพระองค์ก็รับขุนช้างไว้ แต่เนื่องด้วยยังเด็กมาก ก็ให้ขุนศรีวิไชยดูแลไปก่อน

พ่อของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระพันวษาก็ได้ข่าวว่า ป่าทางเมืองสุพรรณบุรี มีควายป่าอยู่มาก คิดอยากไปประพาสป่า ล่าควายป่าที่นั่น ก็ทรงให้พระยาเดโช จัดการเรื่องเตรียมกระบวนไพร่พล ให้ขุนศรีวิไชยบอกให้ขุนไกร รวบรวมพวกไพร่ ช้างม้าต่าง ๆ คืนนั้นขุนไกรก็เกิดมีลางร้ายเห็นแมงมุมตีอก ส่วนนางทองประศรีก็ฝันร้ายว่าฟันหัก ขุนไกรฟังแล้วเห็นว่าเป็นลางร้าย รู้ว่าคราวนี้คงไม่รอด เมื่อตื่นเช้าจึงสั่งเสียให้นางทองประศรีดูแลลูกให้ดี เมื่อขบวนเสด็จถึงป่าสุพรรณบุรี ก็ได้สั่งให้ตั้งตำหนักห้างที่กลางป่า ให้หลวงฤทธานนท์ทำคอก และให้ขุนไกรไปไล่ควายป่ามาเข้าคอก รุ่งเช้าขุนไกรก็พาไพร่พลไปไล่ควายป่า โดยให้จุดไฟเผาเป็นวงล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ ควายป่าเห็นไฟ และได้ยินเสียงคนอึกทึก ก็แตกตื่นวิ่งมาไล่ขวิดผู้คน ขุนไกรเข้าขวางแล้วใช้หอกแทงควายตายล้มลง เป็นจำนวนมาก พระพันวษาทรงพระพิโรธ สั่งให้ประหารขุนไกร แล้วริบสมบัติ ข้าทาสบริวารและลูกเมีย ขุนไกรได้ยินก็ตกใจมาก เพราะเกรงบารมีพระพันวษา ทำให้ความอยู่ยงคงกระพันหมดไป หลังจากที่ขุนไกรตาย หลวงฤทธานนท์ก็สั่งให้ คนถือจดหมายไปบอกกับนางทองประศรีถึงเรื่องราวทั้งหมด และให้รีบหนีไป นางทองประศรีก็พาพลายแก้วหนีไปอยู่กับญาติของขุนไกรที่ดอนเขาชนไก่ เมืองกาญจนบุรี ทำมาหากินจนมีทรัพย์สินมากมาย มีนายโจรคนหนึ่งชื่อนายจันศร เป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน อยู่ที่บ้านโป่งแดง คอยปล้นสดมภ์ชาวบ้านจนเป็นที่หวาดกลัวกันทั่ว วันหนึ่งคิดจะไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ที่บ้านรั้วใหญ่ในสุพรรณ เพราะขุนศรีวิไชยกับนางเทพทองเป็นคนรวยมาก เมื่อพาพวกไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ขุนศรีวิไชยพาชาวบ้านต่อสู้ ขุนศรีวิไชยแพ้ ถูกโจรจันศรจับได้และใช้หลาวสวนรูทวารตาย ฝ่ายพันศรโยธานั้น ได้ไปค้าขายอยู่ที่ละว้า เมื่อกลับมาเกิดเป็นไข้ป่วยหนักและตายลง นางศรีประจันและนางเทพทอง จึงร่วมกันเผาศพทั้งขุนศรีวิไชย และพันศรโยธา เสียในคราวเดียวกัน

พลายแก้วบวชเณร

ฝ่ายพลายแก้วนั้น ไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี จนอายุสิบห้าปีก็คิดอยากเป็นทหารเหมือนขุนไกรผู้เป็นพ่อ ก็บอกให้นางทองประศรีไปฝากเรียนวิชากับพระที่มีวิชาดี นางทองประศรีจึงพาไปฝากสมภารวัดส้มใหญ่ เพื่อบวชเป็นเณร และเรียนวิชาการรบและคงกระพันชาตรี เณรแก้วซึ่งปัญญาไวและฉลาด ก็เรียนจบในเวลาอันรวดเร็ว สมภารได้แนะให้ไปเรียนกับสมภารคงวัดป่าเลไลย สุพรรณบุรีอีก เณรแก้วจึงลาสมภารวัดส้มใหญ่ ไปหานางทองประศรี ให้พาตนไปวัดป่าเลไลย ที่สุพรรณบุรี และได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมต่อไป ฝ่ายขุนช้างเมื่อโตเป็นหนุ่มทองประศรี พ่อแม่ก็ไปขอลูกหมื่นแผ้ว บ้านรั้วใหญ่ ชื่อ นางแก่นแก้ว ให้ หลังจากอยู่กินกันได้ปีกว่า นางแก่นแก้ว ก็ป่วยตาย เมืองสุพรรณบุรีนั้น ในวันสงกรานต์ จะมีการไปทำบุญขนทรายเข้าวัด และก่อพระเจดีย์ทราย โดยเฉพาะที่วัดป่าเลไลย ซึ่งนางศรีประจันกับ นางพิมพิลาไลย ก็ได้ไปทำบุญด้วย ขณะเมื่อนางพิมใส่บาตร เณรแก้วเงยหน้าดู ก็จำได้ว่านางพิมเป็นเพื่อนเล่นสมัยเมื่อเป็นเด็ก ในเดือนสิบ วัดป่าเลไลย ก็จัดให้มีการเทศน์มหาชาติสิบสามกัณฑ์ ชาวบ้านก็ร่วมกันรับกัณฑ์ต่าง ๆ นางศรีประจันรับกัณฑ์มัทรี นางพิมให้ทำหมากประจำกัณฑ์อย่างสวยงาม ส่วนขุนช้างรับกัณฑ์กุมาร เมื่อถึงวันเทศน์มัทรี สมภารได้ป่วยลง ก็สั่งให้เณรแก้วไปเทศน์แทน ก่อนจะขึ้นเทศน์ เณรแก้วเสกขี้ผึ้งทาปากก่อน แล้วไปขึ้นธรรมาสน์ เมื่อเห็นนางพิมนั่งก้มหน้าอายอยู่ จึงเป่าคาถามหาละลวยไปที่นางพิม ทำให้นางพิมพ์รู้สึกรัญจวนใจ ก่อนที่เณรแก้วจะเทศน์จบ นางพิมได้เปลื้องผ้าสีทับทิมวางบนพานถวายเณรแก้ว ขุนช้างเห็นก็เปลื้องผ้ากรอง ไปวางคู่กับผ้าทับทิมของนางพิม พร้อมกับอธิษฐานว่า ให้ได้เป็นคู่กับนางพิม หลังจากที่นางพิมกลับไปแล้ว เณรแก้วก็ให้ปั่นป่วนคิดถึงแต่นางพิม คืนนั้นนางพิมนอนหลับได้ฝันไปว่า นางสายทองพี่เลี้ยงเก็บดอกบัวทองมาให้ เมื่อตื่นขึ้น นางสายทองทำนายฝันว่าจะได้คู่ ฝ่ายขุนช้างหลังจากที่ได้พบกับนางพิม เทศน์มหาชาติแล้วก็ให้รัญจวนใจ คิดถึงแต่นางพิม

พลายแก้วได้นางพิม

รุ่งเช้าเณรแก้วรู้สึกคิดถึงนางพิมมาก ได้ไปบิณฑบาตรที่บ้านนางพิม นางพิมไม่ยอมลงไปใส่บาตร สายทองจึงต้องลงไป แล้วเณรแก้วจึงว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับนางสายทอง ให้พานางพิมไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ เมื่อถึงเวลาบ่าย สายทองพานางพิมไปอาบน้ำ เณรแก้วจึงมาตามที่ได้นัดกันไว้ เมื่อพบกันเณรแก้วจึงอ้อนวอนให้สายทอง ช่วยให้ตนได้พบกับนางพิม หากสำเร็จจะทดแทนบุญคุณ วันรุ่งขึ้น นางสายทองลงมาใส่บาตร ได้บอกกับเณรแก้วว่า จะพานางพิมไปที่ไร่ฝ้ายตอนบ่าย เมื่อถึงตอนบ่ายนางสายทองกับนางพิม บอกนางศรีประจันว่าจะไปเก็บฝ้ายในไร่ ส่วนเณรแก้วก็ไปลาสึกกับชีต้น แล้วพาไปพบกับนางพิมที่ไร่ฝ้าย เมื่อพบกันนางพิมไม่ยอมพูดจา เณรแก้วจึงพูดถึงเรื่องตอนเด็กให้ฟัง ทำให้นางพิมจำได้ว่า เณรแก้วนั้นเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาในตอนเป็นเด็ก

แล้วเณรแก้วก็เข้าเล้าโลมนางพิมด้วยประการต่างๆ นางพิมจึงต่อว่า

"...อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย
ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา..."

เมื่อถึงเวลาค่ำ เณรแก้วได้ดูฤกษ์ยามที่จะไปบ้านนางพิม

" ยืนขยับเพ่งพิศเมฆฉาย
พิเคราะห์ดูหลาวเหล็กและผีหลวง
ปลอดห่วงดวงใจก็ฮึกหาญ

สูรย์จันทร์แม่นยำด้วยชำนาญ
ย่างเท้าก้าวผ่านไปตามทิศ "

เณรแก้วได้เสกข้าวสารหว่านไปจนผู้คนในบ้านหลับสนิท แล้วสะเดาะกลอน กลิ้งครกเหยียบยืนขึ้นไปบนเรือน และได้นางพิมเป็นเมีย หลังจากกลับจากบ้านนางพิม ก็ได้ไปขอให้ชีต้นบวชให้ดังเดิม

ขุนช้างขอนางพิม

ขุนช้างมีความรัญจวนใจถึงนางพิมมาก จนนั่งนอนไม่เป็นสุข ไม่ยอมกินข้าวกินปลา จนนางเทพทองสงสัย ขุนช้างบอกว่า ตั้งแต่เมียตายไป ก็ให้เป็นทุกข์ตลอดมา ซ้ำเงินทองที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีใครจะช่วยดูแล เห็นอยู่แต่นางพิมพิลาไลย ขอให้นางเทพทองไปสู่ขอมาให้ นางเทพทองจึงว่า นางพิมนั้นเป็นหญิงรูปงามเกินกว่าใครในสุพรรณบุรี คงจะไม่มารักขุนช้างที่รูปชั่ว แล้วให้ขุนช้างไปหาเมียที่กรุงศรีอยุธยาแทน ขุนช้างเห็นว่าแม่ไม่ยอมไปขอให้ จึงแต่งตัวไปหานางพิมที่บ้าน พบนางพิมอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำ ก็อ่านเพลงยาวลวนลามนางพิม แล้วก็ขึ้นมาหานางศรีประจันบนบ้าน เล่าเรื่องที่เมียตาย แล้วทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีคนดูแล อยากจะให้นางพิมไปช่วยดูแลให้ เมื่อฟังถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง นางศรีประจันเกิดความโลภขึ้นมา อยากจะยกนางพิมให้ ขุนช้างได้ฟังก็ดีใจแล้วบอกว่า นางพิมนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมา รักกันเหมือนพี่น้อง หลังปลงศพบิดาก็จะให้แม่มาขอ แต่กลัวนางศรีประจันจะโกรธ แต่เมื่อนางศรีประจันตกลงก็จะให้ผู้ใหญ่ พร้อมทั้งวัว ควาย ไร่ นา มาสู่ขอ
ฝ่ายนางพิมรู้ว่าขุนช้างมาขอตนกับนางศรีประจัน และนางศรีประจันก็มีท่าทีจะยกให้ เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของขุนช้าง ก็กลุ้มใจมาก ทั้งเณรแก้วก็หายหน้าไปหลายวัน จึงปรึกษากับนางสายทอง นางสายทองรับปากว่าจะช่วย รุ่งเช้านางสายทองก็แกล้งไปบอกนางศรีประจันว่า เมื่อคืนนางพิมฝันว่าไฟไหม้ ไม่รู้ว่าดีร้ายอย่างไร จึงจะไปถามท่านสมภารวัดป่าเลไลย นางศรีประจันก็ให้นางสายทองไปถามสมภารดู นางสายทองก็จัดอาหารคาวหวานไปถวายพระที่วัด ระหว่างฉันอาหาร นางสายทองก็แอบไปหา เณรแก้วในห้องแล้วบอกว่า นางพิมคิดถึงมาก แล้วเมื่อวานขุนช้างไปทำหยาบช้ากับนางพิมที่ท่าน้ำ และได้ไปสู่ขอนางพิมอีกด้วย เณรแก้วบอกว่าตนก็คิดถึงนางพิมอยู่ทุกวัน แต่ติดขัดอยู่ที่จะต้องร่ำเรียนวิชากับท่านสมภารตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น ขอให้นางสายทองไปช่วยปลอบใจนางพิมให้ด้วย เมื่อตนว่างก็จะรีบไปหา แล้วเณรแก้วก็เป่าคาถามหาละลวยไปที่นางสายทอง และเสกหมากให้กินอีกด้วย เมื่อนางสายทองกินหมากเสกแล้ว ก็ให้รัญจวนใจมาก เณรแก้วเห็นดังนั้นก็เข้าเล้าโลม ขณะนั้นมีเถรรูปหนึ่งเดินผ่านห้องเณรแก้ว ได้ยินเสียงผู้หญิง เมื่อเห็นผู้หญิงอยู่ในห้องเณรแก้ว ก็รีบไปบอกสมภาร สมภารโกรธมาก รีบมาที่ห้องเณรแก้ว แต่ไม่พบ เพราะทั้งเณรแก้วและนางสายทองหลบหนีไปเสียก่อน นางสายทองเมื่อหนีมาถึงบ้านแล้ว นางศรีประจันก็ถามว่าฝันของนางพิมนั้นดีร้ายประการใด นางสายทองบอกว่าเป็นฝันร้ายจะต้องระวังตัวไว้ภายในสามเวลา หากพ้นไปแล้วก็จะดี แล้วก็เข้าไปบอกนางพิมว่าไปพบกับเณรแก้วแล้ว เณรแก้วให้สัญญาว่า จะสึกมาหาโดยเร็ว ฝ่ายเณรแก้วนั้น เมื่อหนีสมภารไปก็คิดว่าตนอยู่ที่ วัดป่าเลไลยมานานก็ยังไม่เชี่ยวชาญในวิชาใดเลย แล้วนางทองประศรีเคยบอกว่าเพื่อนพ่อเป็น สมภารวัดแคที่สุพรรณบุรี ชื่อ คง มีวิชาดี จึงเดินทางไปหา เมื่อสมภารคงรู้ว่าเป็นลูกขุนไกร ก็รับไว้เป็นศิษย์ ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ หลายอย่าง

" สะกดทัพจับพลทั้งปลุกผี
ผูกพยนต์ฤทธีกำแหงหาญ
ปัถมังกำบังตนทนทาน

สะเดาะดาลโซ่กุญแจประจักษ์ใจ
ทั้งพิชัยสงครามทั้งความรู้

อาจจะปราบศัตรูสู้ไม่ได้
ฤกษ์ผานาทีทุกสิ่งไป

ทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน
ชำนาญทั้งกลศึกลึกลับ

คุมพลแม่ทัพนับตั้งแสน
สู้ศึกได้สิ้นทั้งดินแดน

มหาละลวยสุดแสนเสน่ห์ดี
จังงังขลังคะนองล่องหน

ฤทธิรณแรงราวกับราชสีห์
ถอนอาถรรพ์กันประกอบประกับมี

เลี้ยงผีพรายกระซิบทุกสิ่งไป "

ฝ่ายขุนช้าง เมื่อกลับจากบ้านนางศรีประจันคราวก่อนก็ให้รัญจวนถึงแต่นางพิม จนทนอยู่ไม่ได้ ก็ได้มาหานางศรีประจันอีกครั้ง เพื่อขอนางพิมอีก นางศรีประจันก็เรียกนางพิมมาไหว้ขุนช้าง นางพิมก็ด่ากระทบขุนช้าง เมื่อขุนช้างกลับไปแล้ว นางศรีประจันก็ตีนางพิมด้วยความโกรธ

ขุนแผนทูลขอนางลาวทอง

ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย

ฝ่ายขุนช้างรู้ข่าวว่านางวันทองหายป่วย และพลายแก้วที่ไปทัพก็ไม่ได้ข่าวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็คิดจะไปขอนางวันทองอีก จึงไปหาแม่สื่อให้ไปขอนางวันทองให้ตน สื่อและขุนช้าง ก็มาหานางศรีประจันที่บ้าน โดยเอาหม้อกระดูกมาด้วย แล้วบอกว่านี่คือกระดูกพลายแก้ว ซึ่งตายเพราะถูกเจ้าเมืองเชียงทองแทงตาย นางศรีประจันได้ฟังก็ตกใจมาก เรียกนางวันทองออกมาบอกว่าพลายแก้วตายแล้ว นางวันทองออกมาจากห้องเห็นขุนช้างก็โกรธหาว่าขุนช้างแกล้งใส่ร้ายพลายแก้ว ฝ่ายแม่สื่อได้ทีก็เข้าไปกระซิบบอกนางศรีประจันว่า ตามกฎหมายอยุธยานั้น หากใครอาสาไปทัพแล้ว ไม่ชนะกลับมาให้ฆ่าเสีย แต่ถ้าหากตายในการทัพ ให้ริบลูกเมียเข้าหลวง หากจะไม่ให้นางวันทองต้องเป็นหม้ายหลวง ก็ควรจะยกให้ขุนช้างเสีย ขุนช้างนั้นมีเงินทองมากมาย ก็จะสามารถไกล่เกลี่ยให้ดีได้ นางศรีประจันตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงให้มาอีกครั้งในวันแรมสามค่ำ ฝ่ายนางวันทองก็คิดถึงแต่พลายแก้ว โดยไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตาย และตนก็ไม่เคยฝันหรือมีลางร้ายแต่อย่างใด แล้วก็ไม่เคยเข้าตัวเมืองอยุธยาเลย รู้จักแต่คลองบางลางที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ด้วยกัน นางวันทองก็ร้องไห้ไปปรึกษานางสายทอง นางสายทองจึงชวนไปหาขรัวตาจูให้จับยามให้ เมื่อไปถึงจึงถามถึงพลายแก้วว่า พลายแก้วไปทัพยังไม่กลับมา มีคนบอกว่าตายแล้วเป็นความจริงหรือไม่ ขรัวตาจูจับยามดูแล้วว่าคนที่บอกว่าพลายแก้วตายนั้นโกหก แต่พลายแก้วนั้นรบชนะกลับมา และจะได้ความดีความชอบ พร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง นางวันทองกับนางสายทองดีใจมาก กลับมาเล่าให้นางศรีประจันฟังว่า ขรัวตาจูว่าพลายแก้วยังไม่ตาย นางศรีประจันไม่เชื่อกลับบอกว่า การดูด้วยการจับยามจะมาเหมือนกับได้เห็นด้วยตาได้อย่างไร ขุนช้างนั้นถึงรูปจะชั่ว หัวล้านแต่ก็มีเงินทองมากมาย นางวันทองก็โศกเศร้ามากไม่ยอมจะไปเป็นเมียขุนช้าง และบอกกับนางศรีประจันว่า จะไปดูต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้ นางศรีประจันนึกสงสารและกลัวนางวันทองจะผูกคอตายก็ตามใจ ฝ่ายขุนช้างอยู่บ้านไม่เป็นสุข ก็เดินทางมาที่บ้านนางศรีประจัน ได้ยินเสียงดังอึกทึก จึงเข้าไปแอบฟัง รู้ว่านางวันทองไปปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อรู้ที่ปลูกแล้ว ก็กลับมาบ้านพาบ่าวไพร่ไปที่ท่าบางลาง จึงพบว่ามีต้นโพธิ์สามต้นปลูกเรียงกัน มีใบเขียวชอุ่ม จึงตรงเข้าไปโยกต้นโพธิ์ของพลายแก้ว ด้วยต้นโพธิ์ยังอ่อน ก็ทำให้ใบเหี่ยวเฉาลง แล้วขุนช้างก็พาบ่าวไพร่กลับบ้าน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางศรีประจัน ก็ไปที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อไปเห็นต้นโพธิ์เหี่ยวเฉา ก็แน่ใจว่าพลายแก้วตายแล้ว ร้องไห้จนสลบไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางวันทองก็บอกกับนางสายทองว่า ต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย นางสายทองเสียใจมาก แต่บอกนางวันทองว่าอาจจะเป็นแผนชั่วร้ายของขุนช้างก็ได้ เพราะเมื่อตอนเย็นวานนี้เห็นขุนช้างและพวกบ่าวมาแอบอยู่ที่นี่ และลางร้ายใด ๆ ก็ไม่มี ควรจะอยู่เฉย ๆ ไปก่อน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางสายทอง ขนข้าวของไปทำบุญให้พลายแก้วที่วัดป่าเลไลย ขรัวตาจูก็ถามว่า ร้องไห้ร้องห่มกันมานี่บ้านใครเป็นอะไรหรือ นางวันทองกับนางสายทองจึงบอกขรัวตาจูว่า ได้ไปดูที่ต้นโพธิ์ที่อธิษฐานไว้ เห็นต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย จึงเอาข้าวของมาถวายพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ ขรัวตาจูจึงบอกว่าทำบุญไปให้ก็ดี พลายแก้วจะได้กลับมาเร็ว ๆ แล้วก็ให้นางวันทองอธิษฐานให้พบพลายแก้วในวันพรุ่งนี้ นางวันทองจึงว่า หากพลายแก้วไม่ตายจะปลูกกุฎีถวายวัด ขรัวตาจูก็บอกว่าหากในเดือนนี้ไม่มาให้เอาไฟมาเผาวัดได้ นางวันทองกับนางสายทอง ได้ฟังคำของขรัวตาจูที่รับปากหนักแน่นก็ค่อยคลายทุกข์ลง รีบกลับไปบอกนางศรีประจัน ตามคำบอกของขรัวตาจู นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับบอกว่า ขรัวตาจูพูดเช่นนั้นเพราะเห็นแก่ข้าวของที่เอาไปให้

ศรีประจันยกวันทองให้ขุนช้าง

ฝ่ายขุนช้างได้เกณฑ์ผู้คนปรุงเรือนหอใหญ่มีห้องถึงเก้าห้อง เมื่อใกล้เวลาแต่งงานกับนางวันทอง จึงได้ชวนพี่ชื่อศรพระยา มาที่บ้านนางศรีประจัน แล้วบอกว่าได้ปรุงหอเสร็จแล้ว ใหญ่โตเหมือนวิมานของพระอินทร์ แล้วได้ขอให้รื้อเรือนหอของพลายแก้วไปถวายวัด นางศรีประจันเห็นด้วยก็ไปบอกนางวันทองว่า ตนนั้นสงสารพลายแก้วมากจะเป็นตายประการใดก็ไม่รู้ ควรจะรื้อห้องหอไปถวายวัดปลูกกุฎี เพื่อจะได้เป็นบุญแก่พลายแก้ว หากพลายแก้วกลับมาก็ปลูกใหม่ได้ นางวันทองหลงกลก็บอกว่า ตนก็ได้โมทนาไว้ว่าจะไปปลูกกุฎีเช่นเดียวกัน นางศรีประจันจึงรีบออกมาบอกขุนช้างว่า ได้ไปลวงวันทองแล้วเรื่องรื้อเรือนหอ นางวันทองก็ยินยอม ขอให้ขุนช้างกลับไปก่อน แล้วส่งบ่าวไพร่มารื้อเรือน ฝ่ายนางทองประศรีอยู่ที่บ้านเขาชนไก่กาญจนบุรี คอยลูกชายมานานก็ยังไม่เห็นกลับ แล้วก็คิดสงสารนางวันทองว่าจะโศกเศร้ามาก จึงเดินทางไปเยี่ยมนางวันทอง เมื่อไปถึงนางศรีประจันก็ร้องไห้ แล้วบอกว่าพลายแก้วที่ไปทัพนั้นตายแล้ว และนางวันทองต้องเป็นหม้าย ก่อนนั้นก็ล้มป่วยเกือบตาย จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นวันทองก็หายไข้ พอรู้ข่าวว่าพลายแก้วตายก็โศกเศร้าแล้วให้รื้อหอไปถวายวัด นางทองประศรีจึงว่า ใครเป็นคนมาส่งข่าว หากตายก็คงต้องมีข่าวคราวมาบ้าง นางศรีประจันว่า พวกไพร่ที่ไปทัพกลับมาก็ติดคุกอยู่ ขุนช้างได้ข่าวก็มาเล่าให้ฟัง นางวันทองไม่เชื่อไปดูต้นโพธิ์อธิษฐาน ก็เห็นว่าตาย นางวันทองเมื่อรู้ว่า นางทองประศรีมาก็ดีใจออกมาหา แล้วว่าขุนช้างมันมาสอพลอกับแม่ แม่ก็เห็นด้วยยอมยกตนให้เป็นเมีย ตนได้ไปหาขรัวตาจูที่วัดป่าเลไลย ท่านบอกว่าพลายแก้วยังไม่ตาย แต่นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับนัดขุนช้างมาแต่งงานในวันแรมสามค่ำ นางทองประศรีโกรธก็ลงจากเรือนนางศรีประจันมาหาพันโชติ กำนันแดง เล่าให้ฟังแล้วขอเชิญไปเป็นพยาน ฝ่ายพันโชติ กำนันแตง รู้เรื่องก็ไปที่บ้านนางศรีประจัน แล้วว่าพลายแก้วนั้นอาสาไปทัพ และยังไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไร ทำไมจึงวุ่นวายยกลูกสาวให้คนอื่น ขอให้คิดดูให้ดี นางศรีประจันจึงว่า จะเป็นอย่างไรก็ไม่กลัว ใครมีเงินก็จะยกให้ ถึงแม้ว่าพลายแก้วมีชัยชนะกลับมา ก็จะพึ่งพาอะไรได้ นางทองประศรีโกรธมากจึงว่าที่มาขอนางวันทองนั้น เพราะพลายแก้วให้มาขอ ตนได้ห้ามปรามแล้วแต่พลายแก้วไม่ฟัง เพราะหลงรักนางวันทอง หากจะพรากนางวันทองไปจากพลายแก้ว ตนก็ไม่เสียดาย แล้วรีบลงเรือนกลับไป เมื่อถึงวันนัด ขุนช้างก็ให้บ่าวไพร่ขนเครื่องหอมาที่บ้านนางศรีประจัน เมื่อมาถึงก็ลงเสาหมอ และปลูกเรือนหอบนที่เก่าเรือนหอพลายแก้ว นางวันทองเห็นเข้าก็โกรธแค้น ส่วนนางศรีประจันนั้นก็พาบ่าวไพร่มานิมนต์พระไปสวดในตอนเย็น ฝ่ายขรัวตาจูรู้ว่าพลายแก้วยังไม่ตาย ก็บอกให้ฟังข่าวให้แน่ก่อน แล้วบอกว่าพลายแก้วนั้นเป็นหลานได้เลี้ยงดูมา คงจะไปสวดในงานให้ไม่ได้ หากพลายแก้วกลับมาก็จะหาว่าตนรู้เห็นเป็นใจ ให้ไปนิมนต์พระองค์อื่น นางศรีประจันจึงได้มานิมนต์พระที่วัดกลาง และวัดพลับ แทน ฝ่ายนางเทพทองก็ให้ยกขันหมากมาที่บ้านนางศรีประจัน เมื่อถึงตอนเย็น ขุนช้างก็มาถึงบ้านนางศรีประจัน ส่วนนางวันทองไม่ยอมออกจากห้อง นางศรีประจันจึงให้พระสวดมนต์ แล้วประพรมน้ำมนต์เจ้าสาวในห้อง เมื่อพระสวดเสร็จ ขุนช้างก็ให้หาเสภามาขับรับกับมโหรี
รุ่งเช้าขุนช้างลงมาใส่บาตร แต่นางวันทองไม่ยอมออกมา นางศรีประจันจึงบอกว่าตั้งแต่เจ็บคราวก่อน นางวันทองก็ใจคอไม่ดี ขุนช้างจึงบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อขุนช้างนอนเฝ้าหออยู่สามวันแล้ว ก็บอกให้นางศรีประจันส่งตัวนางวันทองมาให้ นางวันทองไม่ยอมจึงถูกนางศรีประจันมัดมือโยงกับหลังคาแล้วตี นางสายทองจึงเข้าห้ามแล้วว่า อย่าหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า ตนจะปลอบน้องให้เข้าหอเอง

พลายแก้วเป็นขุนแผน

ฝ่ายพลายแก้วนั้นได้ปรึกษากับขุนนางไทยลาวอยู่ นายเวรตำรวจก็มาบอกว่า พระพันวษาให้เลิกทัพกลับไปอยุธยา จึงได้สั่งให้พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ ดูแลรักษาบ้านเมืองให้มั่นคง แล้วจึงให้เคลื่อนทัพ นางลาวทองเป็นห่วงพ่อแม่ที่แก่แล้ว ก็ร้องไห้คร่ำครวญมาตลอดทาง ส่วนเจ้าเมืองกำแพงระแหงเถินนั้น ให้ยกทัพล่วงหน้าไปถึงน่าน แพร่ก่อน ส่วนพลายแก้วนั้นมาทางเรือเป็นเวลาเจ็ดวันก็ถึงอยุธยา ให้เจ้าคุณผู้ใหญ่พาเข้าเฝ้า ฝ่ายพระพันวษาเสด็จออกขุนนาง เจ้าคุณผู้ใหญ่จึงบอกว่า พลายแก้วเป็นแม่ทัพไปตีเชียงใหม่ชนะกลับมา พร้อมกับทรัพย์สินที่ยึดกลับมาได้ พระพันวษาตรัสถามเจ้าเชียงทองว่าเป็นสองหน้า ไม่ทำตามที่ถือน้ำพิพัฒน์สัจจาไว้ จะว่าอย่างไร เจ้าเชียงทองจึงทูลว่า โทษของตนนี้ถึงตาย แต่ตนไม่ได้คิดจะเป็นกบถ ที่ทำอย่างนั้นเพราะกลัวภัย ด้วยทัพเชียงใหม่ยกมานับหมื่น หากไม่ยอมก็คงตาย แต่พอทัพไทยไป จึงได้ออกไปนัดกันเข้าตี พระพันวษาไม่เชื่อ ได้ถามพลายแก้ว พลายแก้วจึงบอกว่าเจ้าเชียงทองนั้นพูดความจริง ถึงแม้จะมีความผิดก็คงจะถูกลบด้วยความชอบ พระพันวษายกโทษให้ แล้วตั้งพลายแก้วเป็นขุนแผน ไปรักษาเขตแดนที่ปลายด่าน ประทานเรือยาวเก้าวา และไพร่ห้าร้อย ส่วนคนอื่น ๆ ก็ให้รางวัลตามความดี ความชอบ ฝ่ายพลายแก้วเมื่อได้เป็นขุนนางชื่อ ขุนแผน ก็ดีใจ กราบถวายบังคมพานางลาวทองและสองพี่เลี้ยงลงเรือมา รุ่งเช้าก็ถึงสุพรรณบุรี ไปจอดเรือที่ท่าหน้าบ้านนางศรีประจัน พบสายทอง นางสายทองรีปไปบอกนางวันทองว่าพลายแก้วมาแล้ว นางวันทองรีบมาหาพลายแก้ว กอดเท้าพลายแก้วร้องไห้ พลายแก้วจึงว่าเป็นอะไรไปถึงซูบผอม แล้วแทนที่เห็นตนมาจะดีใจกลับโศกเศร้าเป็นเพราะอะไร นางวันทองจึงว่า ขุนช้างมาบอกนางศรีประจันว่าพลายแก้วไปทัพถูกตีแตกพ่าย แล้วถูกลาวแทงตาย พร้อมกับเอากระดูกมาให้ดู ส่วนตนนั้นไปไปดูโพธิ์อธิษฐาน ก็เห็นใบหล่นเหลือง ตนก็ล้มป่วย แม่จึงไปหาขรัวตาจู ขรัวตาจูทายว่าจะมีเคราะห์ ให้ตนเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง จนโรคหาย ต่อมาขุนช้างได้มาพูดถึงกฏหมายว่าหากผัวไปทัพตาย เมียนั้นต้องถูกเอาไปเป็นหม้ายหลวง แม่นั้นเห็นแก่ทรัพย์สินของขุนช้างจึงยกให้ แล้วรื้อหอเก่าไปถวายวัด แต่ตนไม่ยอมจึงถูกแม่โยงเฆี่ยน ฝ่ายขุนแผนได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก ใคร ๆ ก็รู้ว่านางวันทองเป็นเมียตน ขุนช้างมาทำอย่างนี้ นางศรีประจันก็มาเห็นด้วย น่าจะจิกหัวตีเสียให้เข็ด ดีที่เป็นนางวันทองเป็นคนดีไม่ยอมเข้าหอ การชิงนางพิมไปก็เหมือนควักเอาดวงใจไป แล้วก็สั่งให้บ่าวไพร่ล้อมบ้านไว้ ชักดาบจะไปไล่ฟัน ฝ่ายนางลาวทองแอบอยู่ในม่าน ได้ยินเข้ากลัวขุนแผนจะไปฆ่าใครต่อใคร ก็ออกจากม่านมากั้นขุนแผนไว้ แล้วว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป มีอะไรก็ให้ไปทูลพระพันวษาจะดีกว่า หากไปฆ่าเองอาจเป็นภัยในภายหลังได้ แล้วการที่ฟังความข้างเดียวแล้วมาโกรธก็ไม่ถูก ทำไมขุนช้างเขาจึงไม่กลัว ทั้งที่รู้ว่าเป็นเมียผัวกันอยู่ คงเป็นเพราะแม่ยายยินยอมด้วย เขาจึงกล้า นางวันทองเห็นนางลาวทองมาขัดขวางขุนแผน แล้วพูดห้ามปราม จึงถามขุนแผนว่าเมียใคร หรือเป็นลูกลาวที่เก็บตกได้ระหว่างเดินทัพ ขุนแผนบอกว่า นางลาวทองเป็นเมียของตนเป็นชาวจอมทองพ่อแม่เขายกให้ ที่พามาก็จะให้มาไหว้ แล้วก็ให้นางลาวทองไหว้นางวันทอง ทั้งสองก็ปะทะคารมกันอย่างรุนแรง จนนางวันทองโกรธจะเข้าไปตบตีนางลาวทอง ขุนแผนจึงเข้าขัดขวาง แล้วหาว่านางวันทองไม่กลัวเกรงตน นางวันทองก็ต่อว่า ว่าตนรู้แล้วว่าขุนแผนนั้นไม่ได้รักตนแล้ว จะฆ่าก็ฆ่าเสีย ทำไมจึงแกล้งพามาบ้านเพื่อประจานตนด้วย ว่าแล้วนางวันทองกลับขึ้นจากเรือ แล้วบอกตัดขาดกับขุนแผนแล้วว่า ถึงพระอินทร์ลงมาบอกก็อย่างหวังว่าตนจะกลับมาคืนดี ขุนแผนโกรธจึงว่านางวันทองทำแกล้งพาลว่าตนนั้นผิด เพราะกลัวตนจะขึ้นไปฟันขุนช้าง แล้วแกล้งพาลด่าว่าลาวทอง และมาทะเลาะตัดรอนตน ผัวไปยังไม่ทันพ้นประตูก็รีบคบชู้ แล้วขุนแผนก็ชักดาบจะฆ่านางวันทอง ฝ่ายนางวันทองเห็นก็ตกใจหนีขึ้นบนเรือน แล้วคร่ำครวญว่าเสียแรงที่ครองตัวไว้คอย ไม่เคยมัวหมองเลย พอได้พบผัวก็มีเรื่องขึ้นมา เมื่อเป็นอย่างนี้จะครองตัวต่อไปอีกทำไม บัดนี้ขุนแผนก็ทิ้งตนไปแล้ว คงจะหนีขุนช้างไม่ได้ อายุตนก็เพียงเท่านี้ แต่มีผัวถึงสองคน ต้องอับอายคนไปทั่ว จึงคิดผูกคอตาย ก่อนผูกคอตายอธิษฐานว่า ชาติหน้าก็ให้พบกับขุนแผน แล้วอย่าให้ขุนช้างมาเป็นมารอีกเลย แล้วก็ปีนไปถึงขื่อ ผูกคอแล้วโดดลงมา นางสายทองเข้ามาเห็นพอดีก็ตกใจ รีบเอามีดมาตัดเชือก แล้วตะโกนว่านางวันทองผูกคอตาย ฝ่ายขุนแผนโกรธนางวันทองมาก ไม่ยอมขึ้นไปดูนางวันทอง ก็เดินทางไปบ้านของนางทองประศรี นางทองประศรีเห็นขุนแผนก็ดีใจ แล้วว่าไปพานางวันทองมาทำไม ขุนแผนบอกว่าไม่ใช่วันทอง พร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟัง นางทองประศรีจึงให้ยกให้ขุนช้างไปเสีย แล้วขาดกันตั้งแต่วันนี้ จากนั้นก็หันไปพูดกับนางลาวทอง ฝากผีฝากไข้

ขุนช้างได้นางวันทอง

ฝ่ายขุนช้าง นอนเฝ้าหออยู่ถึงสิบห้าวัน กลุ้มใจมากจนนอนไม่หลับ นางศรีประจันเห็นขุนช้างไม่มีสุข ก็ไปบอกนางวันทองงห้ไปเข้าหอกับขุนช้าง นางวันทองไม่ยอม นางศรีประจันจึงฉุดลากนางวันทองไปจนได้ ขุนช้างเข้าปลุกปล้ำจนได้นางพิมเป็นเมีย นางวันทองอับอายมาก จึงจำใจอยู่กับขุนช้าง แต่พอลับหลังขุนช้างก็คิดถึงแต่ขุนแผน

พิมเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง

ฝ่ายนางพิมนั้นคอยอยู่แต่พลายแก้ว และไม่รู้ข่าวคราวทัพเลย ก็ล้มป่วยลง นางศรีประจัน เห็นนางพิมล้มป่วยลง จึงหาหมอหลายคนมารักษา อาการก็ไม่ดีขึ้น ก็ได้ไปหาขรัวตาจูวัดป่าเลไลย เล่าเรื่องนางพิมให้ฟัง ขรัวตาจับยามดูแล้วบอกว่า ขณะนี้นางพิมมีเคราะห์ร้าย หากไม่จากผัวก็จะตาย ควรจะเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า วันทอง โรคภัยและเคราะห์ร้ายก็จะหมดไป เมื่อกลับถึงบ้าน นางศรีประจันให้จัดพิธีรับขวัญนางพิม แล้วเปลี่ยนชื่อว่านางวันทอง อาการไข้ก็ค่อยหาย กินข้าวกินปลาได้ดังเดิม


ด้วยความแค้นขุนช้าง ขุนแผนจึงขึ้นเรือนขุนช้าง และลักพานางวันทองหนีจากขุนช้าง และพาไปอยู่ด้วยกันจนนางวันทองตั้งครรภ์แล้วพาเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาเพื่อแก้คดี ขุนแผนชนะความขุนช้างต่อมาขุนแผนทูลขอนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษาเป็นเหตุให้สมเด็จพระพันวษากริ้วให้นำขุนแผนไปจำคุก ขุนช้างได้โอกาสจึงฉุดนางวันทองไปอยู่กับตน นางวันทองไปอยู่กับขุนช้างจนคลอดบุตรชายชื่อ พลายงาม ขุนช้างลวงพลายงามซึ่งเป็นลูกของขุนแผนไปฆ่าในป่าแต่ผีพรายบ่าวของขุนแผนมาช่วยป้องกันไว้ นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรีผู้เป็นย่าที่กาญจนบุรี เมื่อพลายงามโตขึ้นได้เล่าเรียนวิชาตามตำราของขุนแผนจนเก่งกล้าสามารถ และได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ต่อมาพระเจ้าล้านช้างได้ถวายนางสร้อยทองพระธิดาแด่สมเด็จพระพันวษาพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาชิงนางไปแล้วมีหนังสือมาท้าสมเด็จพระพันวษา ให้ยกทัพไปชิงนางสร้อยทองคืน พลายงามจึงกราบทูลรับอาสาและขอตัวขุนแผนออกจากคุก เพื่อไปทำศึกกับพระเจ้าเชียงใหม่ต่อไปนี้จะได้อ่านเรื่องขุนช้างขุนแผนตอน พลายงามทูลขอโทษให้ขุนแผน

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นกบฎ

ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นกบฎ

เวลาบ่ายพระพันวษาก็เสด็จออก ขุนนางเห็นขุนช้างหมอบอยู่จึงถามว่าใครตีมา ขุนช้างตกใจพูดเลอะเทอะ กลัวพระพันวษาจนจับความไม่ได้ พระพันวษาให้จมื่นศรีถามให้ ขุนช้างหายตกใจจึงเล่าเรื่องแล้วโกหกปะปนลงไปด้วยว่า ขุนแผนจับนางวันทองและขนข้าวของเงินทองไป ตนก็ให้บ่าวไพร่ออกตามหาไป แต่ขุนแผนมีลูกน้องเป็นโจรหลายร้อยคน ได้ออกมาฆ่าฟันบ่าวไพร่ แล้วขุนแผนก็มาจับตนไว้ และเฆี่ยนด้วหวายหนามจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับได้พูดจาท้าทายว่า หากพระพันวษามาด้วย ก็จะขอชนช้างให้รู้แพ้ชนะ จะได้ชิงเอาศรีอยุธยา และจะได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ต่อไป ทั้งขุนแผนได้ปลูกตำหนักไว้ในป่า มีค่ายป้อมมากมายหากทิ้งไว้จะเกิดกลียุคได้

พระพันวษาให้กองทัพตามขุนแผน

ฝ่ายสมเด็จพระพันวษาฟังเรื่องราวและตรึกตรองดูแล้วก็ว่า เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ หากจะฟังความข้างเดียวคงไม่ถูกต้อง เมื่อคิดแล้วก็ตรัสสั่งให้ จมื่นศรี จมื่นไวยเป็นแม่ทัพยกทัพห้าพันไปดูให้แน่ชัดว่า มีตำหนักของขุนแผนจริงหรือไม่ หากเมื่อพบขุนแผนจงบอกให้เข้ามาเฝ้าเพื่อชำระความ อย่าได้กลัวว่าจะจับมาฆ่าตี หากไม่มาก็จงฆ่าแลัวตัดหัวเสียบไว้ในป่า จมื่นศรีและจมื่นไวยรับคำสั่งแล้ว เมื่อได้ฤกษ์เช้าวันรุ่งขึ้น ก็บอกให้ทุกคนรวมทั้งขุนช้าง ไปพร้อมกันที่ วัดไชยชุมพล ก่อนสี่โมงเช้าวันพรุ่งนี้ มีขุนนางชื่อ ขุนเพชรอินทรา และขุนรามก็จะต้องไปทัพในคราวนี้ด้วย เมื่อกลับมาให้เมียเตรียมเสบียงอาหาร บ่าวไพร่เตรียมช้างม้า พอค่ำก็เข้านอน เมียขุนเพชรอินทราฝันว่า ถูกฟันตัวขาดเป็นสองท่อน แล้วผ่าอกควักหัวใจขว้างทิ้ง ก็ตกใจตื่นบอกให้ผัวทำนายฝันให้ ขุนเพชรรู้ว่าฝันร้าย แต่แกล้งบอกว่านอนมากก็ฝันมาก ส่วนเมียขุนรามนั้น ฝันว่าฟันหักสามซี่ ตกใจตื่นให้ผัวทำนายฝัน ขุนรามก็แกล้งบอกว่า ที่ฝันอย่างนี้เพราะ เป็นห้วงที่จะไปทัพไกล รุ่งขึ้นเมื่อได้ฤกษ์ จมื่นศรีและจมื่นไวย ก็คุมทัพเดินทางมาถึงสามโก้ในตอนเย็น ก็ให้พักทัพหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเมื่อเดินทัพมาถึงท่าต้นไทรไม่พบขุนแผน ก็ให้เดินทัพต่อไปถึงจระเข้สามพันก็ให้พักพลอยู่ที่นั่น แล้วให้ไพร่พลดูลาดเลา ขุนช้างและศรพระยาจึงลงจากช้างขึ้นไปบนต้นไม้ ก็เห็นสีหมอกกินหญ้า ส่วนขุนแผนและนางวันทองนอนกอดกันอยู่ ทำให้ขุนช้างโกรธมาก ฝ่ายโหงพรายเห็นคนมาวุ่นวายอยู่แถวนั้น ก็ไปหลอกหลอนจนขุนช้างตกใจตกลงมาจากต้นไม้ รีบวิ่งมาบอกจมื่นศรีว่าพบขุนแผนกับนางวันทองแล้ว

จมื่นศรีให้ล้อมขุนแผน

จมื่นไวยกับจมื่นศรี ได้ฟังก็สั่งให้ไพร่พลล้อมไว้ไกล ๆ แต่อย่าพึ่งบุกเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ตีฆ้องแล้วยิงปืนดังสนั่นโหงพรายก็มาบอกขุนแผนว่า มีทัพมาล้อมไว้ ฝ่ายนางวันทอง เห็นทัพที่มีไพร่พลมากมายก็ตกใจ กอดขุนแผนร้องไห้แล้วว่า กองทัพที่มาล้อมมีไพร่พลมากมาย ขุนแผนจะไปรบกับเขาได้หรือ คงจะถูกฆ่าตายเป็นแน่ หากจะหลบหนีไปกับม้าสีหมอกก็จะไปได้อย่างไร ทั้งยังต้องมาห่วงใยตนอีก ขุนแผนจึงบอกกับนางวันทองว่า ต่อให้มีมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่กลัว จะพานางวันทองไปหลบซ่อนในป่าเสียก่อน แล้วก็อ่านพระเวทนะจังงัง พานางขึ้นนั่งบนหลังม้าสีหมอก และขี่ม้าผ่านหน้าไพร่พลของกองทัพไปโดยมีภูตพรายห้อมล้อมเต็มไปหมด ทหารก็ยืนกันเฉย เมื่อผ่านมาเห็นขุนช้าง ขุนแผนก็ชี้ให้นางวันทองดูแล้วกับบอกว่า ตนนั้นอยู่กับนางวันทองเพียงสองคน จะต่อสู่กับไพร่พลมากมายนี้ได้อย่างไร แต่เนื่องจากเพราะรักนางวันทองจึงยอมตาย แล้วขุนแผนก็จูบนางวันทองเย้ยขุนช้างเล่น
เมื่อมาถึงใต้ต้นไทร ก็พานางวันทองลงจากม้า แล้วบอกให้นางคอยอยู่ที่นี่ ตนจะออกไปดูขุนช้างก่อนจะเอาอย่างไร หากทำดีก็จะให้มีชีวิตรอดกลับไป หากอยากจะรบก็จะฆ่าให้ตาย เมื่อเสร็จศึกแล้วจะกลับมารับ จากนั้นก็อ่านพระเวทผูกใจนางวันทองไว้ แล้วเสกทรายโปรยเป็นกำแพง และถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่น แล้วเอาน้ำมนตร์ประพรมจนกลายเป็นคนมีอาวุธครบมือ

" สิ้นทัพแล้วจะกลับมารับเจ้า ครู่เดียวมันก็เข้าในป่าหาย
ว่าแล้วอ่านมนตร์สนธยาย ร่ายพระเวทผูกจิตวันทองพลัน
จึงเอาทรายปรายโปรยโรยล้อม เป็นกำแพงเพชรป้อมเขื่อนขันธ์
ถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่นพลัน ถ้วนพันวางเรียงเคียงกันไป
แล้วเสกบริกรรมสำทับ เกิดเป็นไฟวับวับดังจะไหม้
เอาน้ำมนตร์ประหุ่นลงทันใด ไฟดับหุ่นหายกลายเป็นคน
มีอาวุธครบมือถือประจำ แต่งตัวกำยำอย่างพหล
ต่างเคารพนบนอบยอบตน ขุนแผนสั่งขุนพลไปทันที"

หลังจากพวกไพร่พลทัพทั้งหน้าหลังต้องนะจังงังไปพักใหญ่ก็ได้สติ ก็ไต่ถามกัน

ขุนแผนพูดโต้ตอบกับจมื่นศรี
จมื่นศรีกับจมื่นไวยก็ขี่ช้างมา เมื่อมาใกล้ขุนแผนก็บอกขุนแผนว่า มีรับสั่งให้ยกทัพมา
จมื่นศรีกับจมื่นไวยตอบว่า พระพันวษาให้เรายกทัพมาไต่สวนเรื่องที่ลักตัวนางวันทองเมียขุนช้างมา แล้วยังคบคิดกับพวกโจรป่าหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ทั้งยังปลูกตำหนักป่า มีค่ายป้อมมากมาย และได้ฆ่าบ่าวไพร่ขุนช้างตายเป็นร้อยนับว่าเป็นกบถ ทั้งยังท้าทายให้สมเด็จพระพันวษาออกมาชนช้างด้วย สำหรับเรื่องฆ่าฟันบ่าวไพร่ของขุนช้างทรงไม่เอาโทษ แต่ให้รับขุนแผนกับนางวันทองไปแก้ข้อกล่าวหา เรื่องลักพาตัวนางวันทองมา
ขุนแผนตอบจมื่นศรีว่า เรื่องนางวันทองนั้นมันมีเรื่องยาวมาแต่ครั้งก่อน ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะผู้หญิงคนเดียว ขุนช้างยกไพร่พลมาเข้าล้อมจะไม่สู้ก็ตาย เป็นชายก็ไม่ควรหนี จึงได้เข้าต่อสู้จนบ่าวไพร่แตกหนีไปในป่าไม่ได้ไล่ฟัน แต่ขุนช้างกลับไปทูลว่า เราฆ่าฟันบ่าวไพร่ ที่มีรับสั่งให้มารับตัวกลับไปนั้น หากมีอาญาก็ไม่มีใครช่วยได้ ขอให้ท่านจงยกทัพกลับไปก่อน เมื่อหายกริ้วแล้วก็จะตามเข้าไปเฝ้า
ฝ่ายจมื่นศรีกับจมื่นไวย ได้ฟังขุนแผนก็บอกว่า ขุนแผนนั้นเป็นคนดีมีวิชาคงจะเข้าใจ หากพระพันวษารู้ว่า พบแล้วไม่พาตัวกลับไปก็จะพิโรธ ความเก่าของขุนแผนก็ยังมีผิดติดตัวอยู่ พระองค์อาจจะเห็นเข้าข้างขุนช้างได้ ควรจะรีบเข้าไปเฝ้าเพื่อแก้ไขมลทินให้หมด หากดื้อดึงก็จะใช้กำลังจับไป
ขุนแผนได้ฟังก็คิดว่า หากขัดขืนก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ จึงเบี่ยงบ่ายว่าตนนั้นกลัวพระอาญา หากจมื่นศรีกับจมื่นไวยไม่กรุณา คิดแต่จะใช้กำลังจับตนไปก็จนใจ

จมื่นศรีสั่งจับขุนแผน
จมื่นศรีกับจมื่นไวยได้ฟังก็ให้ไพร่พลล้อมจับเป็น ขุนแผนก็อ่านมนต์และตวาดอำนาจครุฑ ผู้คนก็หยุดยืนนิ่งอยู่ แล้วขุนแผนก็ชักสีหมอกไว้ไม่เข้ารบ เพราะเกรงจะเป็นคนทรยศ
ฝ่ายขุนเพชรกับขุนราม ซึ่งเป็นทัพปีกซ้ายและปีกขวาคิดว่าขุนแผนจะคิดขบถยึดเมือง จึงขับช้างเข้ามาเป็นปีกกา ล้อมขุนแผน กล่าวประนามขุนแผนด้วยประการต่าง ๆ และลามปามไปถึงขุนไกรกับนางทองประศรี พ่อแม่ของขุนแผน แล้วก็ขับช้างเข้าไปหาขุนแผน

กองทัพแตกหนีขุนแผน
ขุนแผนได้ฟังก็แค้นใจมากจึงร่ายเวทเรียกหุ่นออกมาจากดงรัง หลังจากสู้รบกัน ขุนแผนฆ่าขุนเพชรกับขุนรามตาย ทัพของจมื่นศรีกับจมื่นไวยแตกพ่ายเข้าป่า จากนั้นขุนแผนก็ขี่ม้าสีหมอกกลับไปหานางวันทอง แล้วบอกว่าได้ฆ่าขุนเพชร กับขุนรามตาย

".....ขุนรามแทงกรอกด้วยหอกใหญ่ ถูกไหล่ไม่ถนัดสบัดหัน
ขุนแผนถาโถมเข้าโรมรัน ฟันขุนรามตกช้างลงกลางดิน
โดดจากหลังม้าฟาดบ่าฉับ ล้มพับฟันซ้ำคมำดิ้น
ขุนรามสิ้นใจเลือดไหลริน สิ้นคนหนึ่งแล้วไอ้ตัวการ....."

ส่วนขุนช้างนั้นไม่ได้ฆ่าเพราะเกรงใจนางวันทอง ฝ่ายกองทัพที่หลบหนีมาก็ไปคอยกันอยู่ที่สามโก้ คนที่กลับมาครบคงเหลืออยู่เพียงห้าร้อยคน แล้วจึงเดินทางกลับไปอยุธยา

จมื่นศรีเข้าเฝ้า
รุ่งขึ้น จมื่นศรีกับจมื่นไวยและขุนช้างไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา เมื่อสมเด็จพระพันวษาเสด็จออกไม่เห็น ขุนเพชรและขุนรามก็ตรัสถาม รวมทั้งเรื่องขุนแผนด้วย จมื่นศรีกับจมื่นไวยก็ทูลว่าได้ยกทัพถึงตำบลต้นไม้ไทร พบขุนแผนและนางวันทองพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไทร ไม่เห็นมีพลับพลาและค่ายอย่างที่ขุนช้างทูล แล้วก็ไม่มีโจรป่าอีกด้วย เมื่อไปถึงก็จัดทัพล้อมไว้ ขุนแผนได้พานางวันทองขึ้นม้าหนีออกไป เมื่อตามไปก็ไม่เห็นนางวันทอง พบแต่ขุนแผนก็บอกแต่ขุนแผนว่า พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อตัดสินความเรื่องนางวันทอง ขุนแผนได้ตอบว่า นางวันทองเป็นเมียขุนแผน โดยได้แต่งงานปลูกหออยู่ด้วยกัน จนกระทั่งขุนแผนต้องถูกทัพไปรบที่เชียงทอง ขุนช้างกลับลวงว่าขุนแผนตาย จนนางศรีประจันยกนางวันทองเป็นเมียขุนช้าง เมื่อขุนแผนตามมาเอาเมียคืนไป ขุนช้างก็ยกบ่าวไพร่ตามไปพบที่ใต้ต้นไทรแล้วให้บ่าวไพร่ฆ่าฟัน ขุนแผนก็ต้องตอบโต้ ส่วนขุนเพชรกับขุนรามนั้น ไปกล่าวหยาบหยาม ลำเลิกว่าขุนแผนลักพานางวันทองและคิดเป็นกบถ และลำเลิกถึงโคตรเง่าของขุนแผน แล้วขี่ช้างเข้าจะตัดหัวขุนแผน ขุนแผนสู้หนีถึงสามครั้ง ก็ยังถูกขุนเพชรและขุนรามตามไล่ล่าฆ่าอีก จึงเข้าต่อสู้แล้วฆ่าขุนเพชรกับขุนรามตาย ไพร่พลก็หนีกกระจัดกระจาย และตายไปถึงสี่พันห้าร้อยกว่าคน
พระพัสมเด็จพระพันวษา ได้ฟังเรื่องราวก็โกรธมาก แล้วว่าทัพไปตั้งมากมายสู้ขุนแผนคนเดียวไม่ได้ เลี้ยงไว้เสียข้าวสุก แล้วให้ฝ่ายกลาโหมและฝ่ายมหาดไทย ให้มีหนังสือไปทั่วทุกจังหวัดทั้งในหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา ว่าหากใครเห็นขุนแผนให้จับตัวมาเป็นเป็น แล้วบอกรูปพรรณสัณฐานของขุนแผนให้ทุกคนรู้ด้วย

พระพันวษาให้กักด่านขุนแผน
ฝ่ายขุนแผนก็อาศัยอยู่กับนางวันทองที่ในป่า คืนหนึ่งนางวันทองฝันว่า เอื้อมมือไปในอากาศ หยิบดวงอาทิตย์มากินแล้วกลืนลงไป และมีชายคนหนึ่งมาควักตาข้างขวาทิ้งไป แต่เอาดวงอื่นมายื่นให้แต่ก็ยังมืดมัวกว่าเก่า ให้ขุนแผนทำนายฝันให้ ขุนแผนฟังแล้วเห็นว่า ความฝันมีทั้งดีและร้าย ที่เอาดวงอาทิตย์มากินจะได้ลูกชายที่มีฤทธ์ และเป็นที่พึ่งพาในภายภาคหน้า ส่วนที่ฝันว่าถูกควักตานั้น จะมีความลำบากมากในวันข้างหน้า แต่เรื่องร้ายนี้ขุนแผนกลัวนางวันทองจะกลุ้มใจ จึงบอกแต่ว่าฝันดี

ขุนแผนลุแก่โทษ
ฝ่ายนางวันทองรู้ว่าตนท้องก็คิดว่า หากอยู่บ้านก็จะมีความสุข แต่หากอยู่ในป่าก็จะมีความลำบาก จึงร้องให้ เมื่อขุนแผนเห็นนางวันทองร้องไห้ก็แปลกใจที่นางท้องแล้วทำไมต้องร้องไห้ แต่ก็ปลอบนางว่า เราจะอยู่ที่นี่กันอีกไม่นาน แต่ต้องไปหลบอยู่ตามภูเขาไม่ให้ใครมาพบ จนกว่าสมเด็จพระพันวษาจะหายพิโรธ แล้วก็เรียกภูตพรายมาบอกและพานางขี่ม้าสีหมอกออกจากป่าไป จนล่วงไปหลายเดือนครรภ์นางวันทองแก่ถึงเจ็ดเดือน ขุนแผนก็เกิดความสงสารลูกในท้องของนางวันทองมาก นางวันทองเห็นขุนแผนหม่นหมอง จึงถามว่า ร้องไห้ทำไมหรือไม่อยากอยู่กับนางแล้ว ขุนแผนบอกว่าไม่เคยคิดจะไปจากนาง เพราะตนรักนางเหมือนดวงใจ เคยรักมาอย่างไรก็ยังคงรักอยู่ แต่ที่ร้องไห้นั่นก็เพราะคับแค้นใจมากที่เห็นท้องของนางวันทองแก่มาก คงจะคลอดลูกในไม่ช้า แต่ต้องมาอยู่ในป่า ห่างบ้านไม่มีหยูกยา ที่นอนหมอนมุ้ง ต้องกรำแดดกรำฝนก็คิดสงสารลูก

ขุนแผนพาวันทองไปหาพระพิจิตร
เมื่อคลายเศร้าโศกแล้ว ขุนแผนก็คิดได้ว่า มีข่าวว่า พระพิจิตรบุษบาเป็นคนใจดี ใครขัดสนก็ไปขอพึ่งพาได้ดังนั้นจะไปพึ่งพา หากจะถูกส่งไปอยุธยาก็ไม่เป็นไร เพราะตนยังมีความดีอยู่มาก แล้วก็พานางวันทองไปเมืองพิจิตร

"สิบวันดั้นพนมพนาวา ชักม้าเข้าพิจิตรบุรี
พอถึงวัดจันทร์ตะวันพลบ แวะเคารพรูปพระชินสีห์"

ฝ่ายพระพิจิตรอยู่กับลูกเมียที่บ้าน เมียของพระพิจิตรนั้นกำลังท้องได้ห้าเดือนขุนแผนก็กำบังตัวและนางวันทอง มาจนถึงประตูบ้านแล้วคลายพระเวท คลานเข้าไปหาพระพิจิตร เมื่อถึงตัวพระพิจิตรก็ร่ายพระเวทไป ส่วนพระพิจิตรเห็นหญิงชายเข้ามาไหว้ ก็ถามว่าจะไปไหนกัน บ้านช่องอยู่ที่ไหน แล้วทั้งสองคนเป็นอะไรกัน
ฝ่ายขุนแแผนกับนางวันทองก็กราบลง แล้วขุนแผนก็บอกว่าตัวชื่อขุนแผน ส่วนหญิงนั้นเป็นนางวันทอง แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย
ฝ่ายพระพิจิตร ได้ฟังผัวเมียเล่าเรื่องราวและประกอบกับทั้งพระเวท ทำให้นึกรักคนทั้งสองเหมือนลูก แล้วพาขึ้นไปบนจวนสั่งบ่าวไพร่ให้หาอาหารมาต้อนรับ แล้วให้พักที่เรือนที่ต่อออกมาจากเรือนเดิมอย่างเป็นสุข

นางแก้วกิริยาไถ่ตัวจากขุนช้าง
ฝ่ายนางแก้วกิริยาเมื่อได้เงินจากขุนแผนมาสิบห้าชั่ง ก็ได้เอาไปไถ่ตนเองจากขุนช้างแล้วเดินทางไปอยู่กรุงศรีอยุธยา กับเพื่อนบ้านชายใดเห็นก็รัก แต่นางไม่สนใจเพราะตนมีผัวอยู่แล้ว และได้ทำมาหากินโดยขายผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อยู่ที่นั่น

ขุนแผนขอให้พระพิจิตรบอกส่งกรุง
ฝ่ายขุนแผนได้มาอยู่จวนพระพิจิตรอย่างสุขสบาย วันหนึ่งก็คิดขึ้นว่าแม้ว่าพระพิจิตรจะรักใคร่ตนเหมือนลูก แต่นานเข้าความเก่าก็จะเปิดเผยขึ้น เพราะพระพันวษายังทรงพิโรธอยู่คงกำชับให้กรมการหรือทางด่านคอยสืบหา เพื่อจับไปในวัง ด้วยมีโทษฆ่าคนตายมากมาย ซึ่งทำให้พระพิจิตรเดือดร้อนไปด้วย จึงปรึกษานางวันทองว่าหากอยู่ที่พิจิตรต่อไป ก็จะเกิดอันตรายในภายหน้าได้ ตนจะไปบอกให้พระพิจิตรส่งตัวลงไปอยุธยาเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของขุนช้าง และการที่เข้าไปเองนี้จะทำให้โทษเบาลงก็ได้ ที่ทำลงทั้งหมดนี้ก็เพราะรักนางวันทองจึงเอาชีวิตเข้าแลก หากจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา
นางวันทองได้ฟังขุนแผนพูดก็ร้องไห้ แล้วว่าพวกเรานั้นมีความผิดโทษถึงประหาร พวกแตกทัพกลับไปคงทูล ว่าพวกเราเป็นกบถ หากจำเป็นจะต้องลงไปอยุธยาก็คงจะต้องตาย ตนเองก็ไม่กลัวในข้อนี้ กลัวอยู่อย่างเดียวคือ จะจับส่งให้อยู่กับขุนช้าง ขุนแผนได้ฟังก็ปลอบนางวันทองว่า หากจะส่งนางวันทองไปให้ขุนช้าง ตนก็ตามไปฆ่าไม่ให้ขุนช้างได้นางวันทองไป แล้วจึงชวนนางวันทองเข้าไปหาพระพิจิตร ขุนแผนได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง แล้วว่าที่พระพิจิตรได้ปิดบังโดยมีตนอาศัยอยู่ในบ้าน หากพระพันวษาทรงรู้เข้าก็จะเกิดอันตรายได้ ฉะนั้นขอให้พระพิจิตรพาไปส่งที่อยุธยา
เมื่อพระพิจิตรได้ฟังก็บอกกับขุนแผนว่า เดิมจะขอตัวไว้ช่วยราชการสงคราม แต่ขุนแผนนั้นมีคดีติดตัว ก็จะหาว่าตนเข้ากับคนผิด แต่จะส่งขุนแผนไปอยุธยาก็สงสาร อย่างไรก็ตามหากส่งไปพระพันวษาคงต้องทรงไต่ถามความจริงก่อนที่จะลงโทษ และเมื่อพระองค์รู้ความจริงคงไม่พิโรธ แต่ข้อรับสั่งนั้นบอกกำชับให้จับทั้งขุนแผนและนางวันทองส่งไปอยุธยา พบเมื่อไรให้จับจองจำไว้เมื่อนั้น แต่เมื่อขุนแผนกับนางวันทองตกลงใจดังนี้ ตนก็จะเขียนคำให้การที่เป็นความจริง โดยมิให้ทั้งสองคนมัวหมอง เมื่อเสร็จเรื่องแล้วก็ขอให้ทั้งสองคน ขึ้นมาอยู่ที่พิจิตร แล้วพระพิจิตรก็ให้ผู้คุมทำหนังสือแจ้งความต่อหน้าขุนนางที่ศาลากลาง แล้วให้ผู้คุมนำหนังสือพร้อมคุมตัวขุนแผนกับนางวันทองลงไปอยุธยา โดยบอกว่าหากยังไม่ถึงอยุธยายังไม่ต้องจองจำ
ขุนแผนกับนางวันทองก็ลาพระพิจิตรและนางบุษบา แล้วไปลาม้าสีหมอก แล้วเดินทางไปกับผู้คุมไปอยุธยา
ฝ่ายนางแก้วกริยา เฝ้าคอยขุนแผนจนเกือบปีก็ไม่เห็นมา วันหนึ่งเป็นวันพระ นางก็ไปวัดฟังธรรมเทศนา เห็นคน ยืนมุงกันแน่น ก็เข้าไปดูเห็นขุนแผนและนางวันทองแต่จำไม่ได้ ขุนแผนก็จำนางได้คลับคล้ายคลับคลา แต่นางวันทองจำนางแก้วกิริยาได้ แต่อายไม่กล้าทัก นางแก้วกิริยาได้ยินคนพูดกันว่าได้ขุนแผนมา ก็เข้าไปกอดเท้าร้องไห้



ขุนแผนชนะความขุนช้าง


ขุนแผนเข้าเฝ้า
จมื่นศรีเห็นขุนแผนก็เรียกผู้คุมเอาหนังสือออกอ่าน แล้วก็พาเข้าไปเฝ้าพระพันวษา
รุ่งขึ้น พระพันวษาเสด็จออกขุนนาง จมื่นศรีกราบทูลว่า ได้ตัวขุนแผนมาแล้ว พระพันวษาได้ฟังก็โกรธ หาว่าขุนแผนนั้นถือว่าตนมีวิชาดี ใครสู้ไม่ได้ ลักเมียขุนช้างไป แล้วไล่ฆ่าฟันคน หากเก่งกล้านักทำไมไม่เหาะหนีไป
จมื่นศรีกราบทูลว่า ขุนแผนได้ไปมอบตัวกับพระพิจิตร และบอกว่าตนไม่ผิด ขอให้ส่งตัวมาอยุธยาด้วย และเมื่อพระพิจิตรไต่ถามนางวันทองก็ให้การตรงกัน
ฝ่ายพระพันวษาได้ฟังข้อความในใบบอกก็คลายพิโรธลง สั่งให้นำตัวขุนแผนกับนางวันทองเข้ามา เมื่อขุนแผนและนางวันทองมาเข้าเฝ้าพระองค์ก็ไม่หันมามอง ขุนแผนจึงอ่านมนตร์บันดาลพระทัยให้หายโกรธ พระพันวษาจึงหันพระพักตร์มามองแล้วตรัสถามว่า ที่กลับมานี่จะมาแก้ข้อกล่าวหาหรือ

ชำระความขุนช้างขุนแผน
ขุนแผนกราบทูลว่า หากนางวันทองไม่ใช่เมียก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงว่า พระองค์ทรงยกโทษผิดให้เรื่องที่ฆ่าขุนเพชรและขุนราม ส่วนเรื่องขุนช้างนั้นให้สู้ความกัน แล้วให้ตำรวจวังไปพาตัวขุนช้างมา เมื่อเห็นนางวันทองท้องแก่ ก็ตู่ว่าเป็นลูกของตัวเอง เมื่อถึงเวลาลูกขุนก็มานั่งกันพร้อมหน้า ผู้คุมก็คุมขุนแผนและนางวันทองออกมาฟังข้อกล่าวหาของขุนช้าง ขุนแผนแก้ว่าไม่เป็นความจริง จากนั้นก็ซักถามทุกคน รวมทั้งนางวันทอง และนางวันทองก็ให้การตรงกับขุนแผน แต่จมื่นศรีคิดว่า นางวันทองนั้นเป็นหญิงใจโลเล อยู่กับชู้ก็เข้าข้างชู้ อยู่กับผัวก็เข้าข้างผัว

ตัดสินความขุนช้างขุนแผน
รุ่งขึ้นคณะลูกขุนก็ให้ไปเบิกพยานคือ นางศรีประจัน ยายกลอย และยายสา มาให้การเมื่อคณะลูกขุนซักพยาน เสร็จก็พาทั้งหมดเข้าเฝ้ากราบทูลพระพันวษาว่า ตนได้ซักถามโจทย์ จำเลย และพวกพยานแล้วเห็นว่า ขุนช้างนางศรีประจัน ยายกลอย และยายสา เป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียทรัพย์ชดใช้แก่ขุนแผนตามศักดิ์ของขุนแผน และชดใช้ค่าถูกประจานให้แก่นางวันทอง แต่หากขุนแผนไม่รับจะฆ่าขุนช้างเสียก็ได้
สมเด็จพระพันวษา จึงรับสั่งถามว่า ขุนแผนอยากจะฆ่าขุนช้างหรือไม่ ขุนแผนทูลว่าไม่อยากเป็นเวรกรรมต่อกัน จะขอรับแต่สินไหมและพินัยเท่านั้น
เมื่อเสียค่าปรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขุนช้างก็เข้าไปกระซิบกับจมื่นศรีว่า เงินทองที่เสียเป็นค่าปรับไปนั้นไม่เสียดาย เสียดายแต่นางวันทอง หากช่วยให้ตนได้นางวันทองกลับคืน ก็จะให้เงินยี่สิบชั่งเป็นค่าตอบแทน แต่จมื่นศรีไม่ยอมช่วย

ขุนแผนครวญถึงนางลาวทอง
ขุนแผนนางวันทองและนางแก้วกริยา หลังจากชนะความได้อาศัยอยู่ที่บ้านจมื่นศรี จนวันหนึ่งจะเกิดเหตุร้าย ทำให้คืนนั้นขุนแผนนอนไม่หลับ คิดถึงแต่นางลาวทองที่ต้องจากไปลำบากอยู่ในวัง จนรุ่งเช้าก็ไปหาจมื่นศรี ขอให้ทูลพระพันวษาขอตัวนางลาวทองออกมา จมื่นศรีจึงว่าควรรออีกสักปีคงจะดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะไปมีชู้ เพราะอยู่ในวัง " เหมือนดับไฟไม่ทันจะสิ้นเปลว ด่วนเร็วจะกำเริบเมื่อภายหลัง "
ขุนแผนตอบจมื่นศรีว่า ตนไม่ได้คิดเรื่องอื่น แต่คิดว่านางลาวทองนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ที่ต้องถูกขังก็เพราะพระพันวษาพิโรธตน เมื่อตนพ้นโทษแล้ว นางก็ยังอยู่ในวัง ก็เหมือนมาหลงเมียอยู่นอกวัง ลืมนางลาวทอง
ฝ่ายจมื่นศรีฟังขุนแผนแล้ว ก็รู้ว่าไม่สามารถห้ามปรามได้ ก็คิดว่าแล้วแต่วาสนา จึงพาขุนแผนไปเข้าเฝ้า แล้วจมื่นศรีก็ทูลเนื้อความตามที่ขุนแผนร้องขอ


ขุนช้างขุนแผนตอนพลายงามทูลขอโทษให้ขุนแผน


บทนำเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนพลายงามทูลขอโทษให้ขุนแผน

เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้เป็นนิยายพื้นบ้านของสุพรรณบุรี ที่แต่งขึ้นจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า โดยแต่งเป็นบทกลอนสำหรับขับเสภาให้ประชาชนฟัง เมื่อมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่มีผู้แต่งไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้นเหลืออยู่เพียงบางตอนเท่านั้นเพราะถูกไฟไหม้และสูญหายไปเมื่อครั้งเสียกรุงกับพม่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่๒)จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กวีหลายท่าน เช่น พระองค์เอง กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) สุนทรภู่ ครูแจ้ง เป็นต้น ให้ช่วยกันแต่งเพิ่มเติมขึ้นโดยแบ่งกันแต่งเป็นตอน ๆ ไปจนจบเรื่อง
คุณค่าทางวรรณคดี

ขุนช้างขุนแผนเป็นเรื่องที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นยอดของหนังสือประเภทกลอนเสภา มีสำนวนโวหารไพเราะคมคาย มีคติเตือนใจ สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตและสังคมความเป็นอยู่ของคนไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทย และยังให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย
ด้วยความแค้นขุนช้าง ขุนแผนจึงขึ้นเรือนขุนช้าง และลักพานางวันทองหนีจากขุนช้าง และพาไปอยู่ด้วยกันจนนางวันทองตั้งครรภ์แล้วพาเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาเพื่อแก้คดี ขุนแผนชนะความขุนช้างต่อมาขุนแผนทูลขอนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษาเป็นเหตุให้สมเด็จพระพันวษากริ้วให้นำขุนแผนไปจำคุก ขุนช้างได้โอกาสจึงฉุดนางวันทองไปอยู่กับตน นางวันทองไปอยู่กับขุนช้างจนคลอดบุตรชายชื่อ พลายงาม ขุนช้างลวงพลายงามซึ่งเป็นลูกของขุนแผนไปฆ่าในป่าแต่ผีพรายบ่าวของขุนแผนมาช่วยป้องกันไว้ นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรีผู้เป็นย่าที่กาญจนบุรี เมื่อพลายงามโตขึ้นได้เล่าเรียนวิชาตามตำราของขุนแผนจนเก่งกล้าสามารถ และได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ต่อมาพระเจ้าล้านช้างได้ถวายนางสร้อยทองพระธิดาแด่สมเด็จพระพันวษาพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาชิงนางไปแล้วมีหนังสือมาท้าสมเด็จพระพันวษา ให้ยกทัพไปชิงนางสร้อยทองคืน พลายงามจึงกราบทูลรับอาสาและขอตัวขุนแผนออกจากคุก เพื่อไปทำศึกกับพระเจ้าเชียงใหม่ต่อไปนี้จะได้อ่านเรื่องขุนช้างขุนแผนตอน พลายงามทูลขอโทษให้ขุนแผน