วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่สงบสุข มีเมืองขึ้นมากมายและมีเรื่องราวของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิมพิลาไลย เกิดขึ้นที่เมืองสุพรรณบุรี สมัยที่สมเด็จพระพันวษาครองกรุงศรีอยุธยา มีชายคนหนึ่งชื่อ ขุนไกร อยู่ที่บ้านพลับได้แต่งงานอยู่กินกับนางทองประศรี ชาวบ้านแถววัดตะไกร ต่อมาขุนไกรย้ายไปรับราชการทหารที่เมืองสุพรรณบุรี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนายกรมช้างกองนอก ชื่อ ขุนศรีวิไชย ได้เมียชื่อนางเทพทอง อยู่ที่บ้านท่าสิบเบี้ย เมืองสุพรรณบุรี และพันศรโยธา มีเมียชื่อ นางศรีประจัน เป็นชาวบ้านท่าสิบเบี้ยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นนางศรีประจัน ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ นางบัวประจัน มีผัวเป็นชาว บางเหี้ย ชื่อนายโชดคง ไม่มีอาชีพนอกจากเป็นโจร เที่ยวขโมยควายของชาวบ้าน วันหนึ่งนางเทพทอง เกิดฝันประหลาด ขุนศรีวิไชยทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย ฝ่ายนางทองประศรี ฝันว่าพระอินทร์เหาะลงมายื่นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ให้ ขุนไกรทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย ซึ่งภายภาคหน้าจะได้เป็นทหารใหญ่ ส่วนนางศรีประจัน ก็ฝันเช่นเดียวกันโดยฝันว่า พระวิษณุกรรม เหาะเอาแหวนมาให้ และพันศรโยธาทำนายฝันว่า จะได้ลูกสาวที่มีความสวยงามมาก ต่อมาทั้งสามก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นางเทพทองคลอดบุตรเป็นชายหัวล้านได้ชื่อว่า ขุนช้าง นางทองประศรีคลอดบุตรเป็นชายรูปร่างหน้าน่ารัก ได้ชื่อว่า พลายแก้ว และนางศรีประจันคลอดบุตรเป็นหญิง ได้ชื่อว่า พิมพิลาไลยเด็กทั้งสามนี้เป็นเพื่อนเล่นกันมา ครั้งหนึ่งขณะเล่นกันอยู่ พลายแก้วเกิดอุตริชวนขุนช้างและนางพิม เล่นผัวเมีย ขุนช้างเห็นด้วย นางพิมไม่อยากเล่น พลายแก้วคะยั้นคะยอให้เล่น โดยบอกว่า ให้เล่นเป็นเมียขุนช้างไปพลาง ๆ แล้วตนจะไปลักมาจากขุนช้าง นางพิมจึงยอมเล่น ซึ่งนับว่าเป็นลางที่จะต้องเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ทำให้เทวดาดลใจ ให้คิดเล่นผัวเมียขึ้นมา เมื่อขุนช้างโตขึ้น ขุนศรีวิไชยได้พาไปถวายตัวกับ สมเด็จพระพันวษา เป็นกษัตริย์ที่มีพระบรมเดชานุภาพมาก เมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ และส่งราชบรรณการมาให้มิได้ขาด และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีจริยธรรม ปกครองกรุงศรีอยุธยาและบรรดาเมืองขึ้น ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ซึ่งพระองค์ก็รับขุนช้างไว้ แต่เนื่องด้วยยังเด็กมาก ก็ให้ขุนศรีวิไชยดูแลไปก่อน

พ่อของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระพันวษาก็ได้ข่าวว่า ป่าทางเมืองสุพรรณบุรี มีควายป่าอยู่มาก คิดอยากไปประพาสป่า ล่าควายป่าที่นั่น ก็ทรงให้พระยาเดโช จัดการเรื่องเตรียมกระบวนไพร่พล ให้ขุนศรีวิไชยบอกให้ขุนไกร รวบรวมพวกไพร่ ช้างม้าต่าง ๆ คืนนั้นขุนไกรก็เกิดมีลางร้ายเห็นแมงมุมตีอก ส่วนนางทองประศรีก็ฝันร้ายว่าฟันหัก ขุนไกรฟังแล้วเห็นว่าเป็นลางร้าย รู้ว่าคราวนี้คงไม่รอด เมื่อตื่นเช้าจึงสั่งเสียให้นางทองประศรีดูแลลูกให้ดี เมื่อขบวนเสด็จถึงป่าสุพรรณบุรี ก็ได้สั่งให้ตั้งตำหนักห้างที่กลางป่า ให้หลวงฤทธานนท์ทำคอก และให้ขุนไกรไปไล่ควายป่ามาเข้าคอก รุ่งเช้าขุนไกรก็พาไพร่พลไปไล่ควายป่า โดยให้จุดไฟเผาเป็นวงล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ ควายป่าเห็นไฟ และได้ยินเสียงคนอึกทึก ก็แตกตื่นวิ่งมาไล่ขวิดผู้คน ขุนไกรเข้าขวางแล้วใช้หอกแทงควายตายล้มลง เป็นจำนวนมาก พระพันวษาทรงพระพิโรธ สั่งให้ประหารขุนไกร แล้วริบสมบัติ ข้าทาสบริวารและลูกเมีย ขุนไกรได้ยินก็ตกใจมาก เพราะเกรงบารมีพระพันวษา ทำให้ความอยู่ยงคงกระพันหมดไป หลังจากที่ขุนไกรตาย หลวงฤทธานนท์ก็สั่งให้ คนถือจดหมายไปบอกกับนางทองประศรีถึงเรื่องราวทั้งหมด และให้รีบหนีไป นางทองประศรีก็พาพลายแก้วหนีไปอยู่กับญาติของขุนไกรที่ดอนเขาชนไก่ เมืองกาญจนบุรี ทำมาหากินจนมีทรัพย์สินมากมาย มีนายโจรคนหนึ่งชื่อนายจันศร เป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน อยู่ที่บ้านโป่งแดง คอยปล้นสดมภ์ชาวบ้านจนเป็นที่หวาดกลัวกันทั่ว วันหนึ่งคิดจะไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ที่บ้านรั้วใหญ่ในสุพรรณ เพราะขุนศรีวิไชยกับนางเทพทองเป็นคนรวยมาก เมื่อพาพวกไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ขุนศรีวิไชยพาชาวบ้านต่อสู้ ขุนศรีวิไชยแพ้ ถูกโจรจันศรจับได้และใช้หลาวสวนรูทวารตาย ฝ่ายพันศรโยธานั้น ได้ไปค้าขายอยู่ที่ละว้า เมื่อกลับมาเกิดเป็นไข้ป่วยหนักและตายลง นางศรีประจันและนางเทพทอง จึงร่วมกันเผาศพทั้งขุนศรีวิไชย และพันศรโยธา เสียในคราวเดียวกัน

พลายแก้วบวชเณร

ฝ่ายพลายแก้วนั้น ไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี จนอายุสิบห้าปีก็คิดอยากเป็นทหารเหมือนขุนไกรผู้เป็นพ่อ ก็บอกให้นางทองประศรีไปฝากเรียนวิชากับพระที่มีวิชาดี นางทองประศรีจึงพาไปฝากสมภารวัดส้มใหญ่ เพื่อบวชเป็นเณร และเรียนวิชาการรบและคงกระพันชาตรี เณรแก้วซึ่งปัญญาไวและฉลาด ก็เรียนจบในเวลาอันรวดเร็ว สมภารได้แนะให้ไปเรียนกับสมภารคงวัดป่าเลไลย สุพรรณบุรีอีก เณรแก้วจึงลาสมภารวัดส้มใหญ่ ไปหานางทองประศรี ให้พาตนไปวัดป่าเลไลย ที่สุพรรณบุรี และได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมต่อไป ฝ่ายขุนช้างเมื่อโตเป็นหนุ่มทองประศรี พ่อแม่ก็ไปขอลูกหมื่นแผ้ว บ้านรั้วใหญ่ ชื่อ นางแก่นแก้ว ให้ หลังจากอยู่กินกันได้ปีกว่า นางแก่นแก้ว ก็ป่วยตาย เมืองสุพรรณบุรีนั้น ในวันสงกรานต์ จะมีการไปทำบุญขนทรายเข้าวัด และก่อพระเจดีย์ทราย โดยเฉพาะที่วัดป่าเลไลย ซึ่งนางศรีประจันกับ นางพิมพิลาไลย ก็ได้ไปทำบุญด้วย ขณะเมื่อนางพิมใส่บาตร เณรแก้วเงยหน้าดู ก็จำได้ว่านางพิมเป็นเพื่อนเล่นสมัยเมื่อเป็นเด็ก ในเดือนสิบ วัดป่าเลไลย ก็จัดให้มีการเทศน์มหาชาติสิบสามกัณฑ์ ชาวบ้านก็ร่วมกันรับกัณฑ์ต่าง ๆ นางศรีประจันรับกัณฑ์มัทรี นางพิมให้ทำหมากประจำกัณฑ์อย่างสวยงาม ส่วนขุนช้างรับกัณฑ์กุมาร เมื่อถึงวันเทศน์มัทรี สมภารได้ป่วยลง ก็สั่งให้เณรแก้วไปเทศน์แทน ก่อนจะขึ้นเทศน์ เณรแก้วเสกขี้ผึ้งทาปากก่อน แล้วไปขึ้นธรรมาสน์ เมื่อเห็นนางพิมนั่งก้มหน้าอายอยู่ จึงเป่าคาถามหาละลวยไปที่นางพิม ทำให้นางพิมพ์รู้สึกรัญจวนใจ ก่อนที่เณรแก้วจะเทศน์จบ นางพิมได้เปลื้องผ้าสีทับทิมวางบนพานถวายเณรแก้ว ขุนช้างเห็นก็เปลื้องผ้ากรอง ไปวางคู่กับผ้าทับทิมของนางพิม พร้อมกับอธิษฐานว่า ให้ได้เป็นคู่กับนางพิม หลังจากที่นางพิมกลับไปแล้ว เณรแก้วก็ให้ปั่นป่วนคิดถึงแต่นางพิม คืนนั้นนางพิมนอนหลับได้ฝันไปว่า นางสายทองพี่เลี้ยงเก็บดอกบัวทองมาให้ เมื่อตื่นขึ้น นางสายทองทำนายฝันว่าจะได้คู่ ฝ่ายขุนช้างหลังจากที่ได้พบกับนางพิม เทศน์มหาชาติแล้วก็ให้รัญจวนใจ คิดถึงแต่นางพิม

พลายแก้วได้นางพิม

รุ่งเช้าเณรแก้วรู้สึกคิดถึงนางพิมมาก ได้ไปบิณฑบาตรที่บ้านนางพิม นางพิมไม่ยอมลงไปใส่บาตร สายทองจึงต้องลงไป แล้วเณรแก้วจึงว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับนางสายทอง ให้พานางพิมไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ เมื่อถึงเวลาบ่าย สายทองพานางพิมไปอาบน้ำ เณรแก้วจึงมาตามที่ได้นัดกันไว้ เมื่อพบกันเณรแก้วจึงอ้อนวอนให้สายทอง ช่วยให้ตนได้พบกับนางพิม หากสำเร็จจะทดแทนบุญคุณ วันรุ่งขึ้น นางสายทองลงมาใส่บาตร ได้บอกกับเณรแก้วว่า จะพานางพิมไปที่ไร่ฝ้ายตอนบ่าย เมื่อถึงตอนบ่ายนางสายทองกับนางพิม บอกนางศรีประจันว่าจะไปเก็บฝ้ายในไร่ ส่วนเณรแก้วก็ไปลาสึกกับชีต้น แล้วพาไปพบกับนางพิมที่ไร่ฝ้าย เมื่อพบกันนางพิมไม่ยอมพูดจา เณรแก้วจึงพูดถึงเรื่องตอนเด็กให้ฟัง ทำให้นางพิมจำได้ว่า เณรแก้วนั้นเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาในตอนเป็นเด็ก

แล้วเณรแก้วก็เข้าเล้าโลมนางพิมด้วยประการต่างๆ นางพิมจึงต่อว่า

"...อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย
ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา..."

เมื่อถึงเวลาค่ำ เณรแก้วได้ดูฤกษ์ยามที่จะไปบ้านนางพิม

" ยืนขยับเพ่งพิศเมฆฉาย
พิเคราะห์ดูหลาวเหล็กและผีหลวง
ปลอดห่วงดวงใจก็ฮึกหาญ

สูรย์จันทร์แม่นยำด้วยชำนาญ
ย่างเท้าก้าวผ่านไปตามทิศ "

เณรแก้วได้เสกข้าวสารหว่านไปจนผู้คนในบ้านหลับสนิท แล้วสะเดาะกลอน กลิ้งครกเหยียบยืนขึ้นไปบนเรือน และได้นางพิมเป็นเมีย หลังจากกลับจากบ้านนางพิม ก็ได้ไปขอให้ชีต้นบวชให้ดังเดิม

ขุนช้างขอนางพิม

ขุนช้างมีความรัญจวนใจถึงนางพิมมาก จนนั่งนอนไม่เป็นสุข ไม่ยอมกินข้าวกินปลา จนนางเทพทองสงสัย ขุนช้างบอกว่า ตั้งแต่เมียตายไป ก็ให้เป็นทุกข์ตลอดมา ซ้ำเงินทองที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีใครจะช่วยดูแล เห็นอยู่แต่นางพิมพิลาไลย ขอให้นางเทพทองไปสู่ขอมาให้ นางเทพทองจึงว่า นางพิมนั้นเป็นหญิงรูปงามเกินกว่าใครในสุพรรณบุรี คงจะไม่มารักขุนช้างที่รูปชั่ว แล้วให้ขุนช้างไปหาเมียที่กรุงศรีอยุธยาแทน ขุนช้างเห็นว่าแม่ไม่ยอมไปขอให้ จึงแต่งตัวไปหานางพิมที่บ้าน พบนางพิมอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำ ก็อ่านเพลงยาวลวนลามนางพิม แล้วก็ขึ้นมาหานางศรีประจันบนบ้าน เล่าเรื่องที่เมียตาย แล้วทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีคนดูแล อยากจะให้นางพิมไปช่วยดูแลให้ เมื่อฟังถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง นางศรีประจันเกิดความโลภขึ้นมา อยากจะยกนางพิมให้ ขุนช้างได้ฟังก็ดีใจแล้วบอกว่า นางพิมนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมา รักกันเหมือนพี่น้อง หลังปลงศพบิดาก็จะให้แม่มาขอ แต่กลัวนางศรีประจันจะโกรธ แต่เมื่อนางศรีประจันตกลงก็จะให้ผู้ใหญ่ พร้อมทั้งวัว ควาย ไร่ นา มาสู่ขอ
ฝ่ายนางพิมรู้ว่าขุนช้างมาขอตนกับนางศรีประจัน และนางศรีประจันก็มีท่าทีจะยกให้ เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของขุนช้าง ก็กลุ้มใจมาก ทั้งเณรแก้วก็หายหน้าไปหลายวัน จึงปรึกษากับนางสายทอง นางสายทองรับปากว่าจะช่วย รุ่งเช้านางสายทองก็แกล้งไปบอกนางศรีประจันว่า เมื่อคืนนางพิมฝันว่าไฟไหม้ ไม่รู้ว่าดีร้ายอย่างไร จึงจะไปถามท่านสมภารวัดป่าเลไลย นางศรีประจันก็ให้นางสายทองไปถามสมภารดู นางสายทองก็จัดอาหารคาวหวานไปถวายพระที่วัด ระหว่างฉันอาหาร นางสายทองก็แอบไปหา เณรแก้วในห้องแล้วบอกว่า นางพิมคิดถึงมาก แล้วเมื่อวานขุนช้างไปทำหยาบช้ากับนางพิมที่ท่าน้ำ และได้ไปสู่ขอนางพิมอีกด้วย เณรแก้วบอกว่าตนก็คิดถึงนางพิมอยู่ทุกวัน แต่ติดขัดอยู่ที่จะต้องร่ำเรียนวิชากับท่านสมภารตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น ขอให้นางสายทองไปช่วยปลอบใจนางพิมให้ด้วย เมื่อตนว่างก็จะรีบไปหา แล้วเณรแก้วก็เป่าคาถามหาละลวยไปที่นางสายทอง และเสกหมากให้กินอีกด้วย เมื่อนางสายทองกินหมากเสกแล้ว ก็ให้รัญจวนใจมาก เณรแก้วเห็นดังนั้นก็เข้าเล้าโลม ขณะนั้นมีเถรรูปหนึ่งเดินผ่านห้องเณรแก้ว ได้ยินเสียงผู้หญิง เมื่อเห็นผู้หญิงอยู่ในห้องเณรแก้ว ก็รีบไปบอกสมภาร สมภารโกรธมาก รีบมาที่ห้องเณรแก้ว แต่ไม่พบ เพราะทั้งเณรแก้วและนางสายทองหลบหนีไปเสียก่อน นางสายทองเมื่อหนีมาถึงบ้านแล้ว นางศรีประจันก็ถามว่าฝันของนางพิมนั้นดีร้ายประการใด นางสายทองบอกว่าเป็นฝันร้ายจะต้องระวังตัวไว้ภายในสามเวลา หากพ้นไปแล้วก็จะดี แล้วก็เข้าไปบอกนางพิมว่าไปพบกับเณรแก้วแล้ว เณรแก้วให้สัญญาว่า จะสึกมาหาโดยเร็ว ฝ่ายเณรแก้วนั้น เมื่อหนีสมภารไปก็คิดว่าตนอยู่ที่ วัดป่าเลไลยมานานก็ยังไม่เชี่ยวชาญในวิชาใดเลย แล้วนางทองประศรีเคยบอกว่าเพื่อนพ่อเป็น สมภารวัดแคที่สุพรรณบุรี ชื่อ คง มีวิชาดี จึงเดินทางไปหา เมื่อสมภารคงรู้ว่าเป็นลูกขุนไกร ก็รับไว้เป็นศิษย์ ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ หลายอย่าง

" สะกดทัพจับพลทั้งปลุกผี
ผูกพยนต์ฤทธีกำแหงหาญ
ปัถมังกำบังตนทนทาน

สะเดาะดาลโซ่กุญแจประจักษ์ใจ
ทั้งพิชัยสงครามทั้งความรู้

อาจจะปราบศัตรูสู้ไม่ได้
ฤกษ์ผานาทีทุกสิ่งไป

ทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน
ชำนาญทั้งกลศึกลึกลับ

คุมพลแม่ทัพนับตั้งแสน
สู้ศึกได้สิ้นทั้งดินแดน

มหาละลวยสุดแสนเสน่ห์ดี
จังงังขลังคะนองล่องหน

ฤทธิรณแรงราวกับราชสีห์
ถอนอาถรรพ์กันประกอบประกับมี

เลี้ยงผีพรายกระซิบทุกสิ่งไป "

ฝ่ายขุนช้าง เมื่อกลับจากบ้านนางศรีประจันคราวก่อนก็ให้รัญจวนถึงแต่นางพิม จนทนอยู่ไม่ได้ ก็ได้มาหานางศรีประจันอีกครั้ง เพื่อขอนางพิมอีก นางศรีประจันก็เรียกนางพิมมาไหว้ขุนช้าง นางพิมก็ด่ากระทบขุนช้าง เมื่อขุนช้างกลับไปแล้ว นางศรีประจันก็ตีนางพิมด้วยความโกรธ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น