วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นกบฎ

ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นกบฎ

เวลาบ่ายพระพันวษาก็เสด็จออก ขุนนางเห็นขุนช้างหมอบอยู่จึงถามว่าใครตีมา ขุนช้างตกใจพูดเลอะเทอะ กลัวพระพันวษาจนจับความไม่ได้ พระพันวษาให้จมื่นศรีถามให้ ขุนช้างหายตกใจจึงเล่าเรื่องแล้วโกหกปะปนลงไปด้วยว่า ขุนแผนจับนางวันทองและขนข้าวของเงินทองไป ตนก็ให้บ่าวไพร่ออกตามหาไป แต่ขุนแผนมีลูกน้องเป็นโจรหลายร้อยคน ได้ออกมาฆ่าฟันบ่าวไพร่ แล้วขุนแผนก็มาจับตนไว้ และเฆี่ยนด้วหวายหนามจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับได้พูดจาท้าทายว่า หากพระพันวษามาด้วย ก็จะขอชนช้างให้รู้แพ้ชนะ จะได้ชิงเอาศรีอยุธยา และจะได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ต่อไป ทั้งขุนแผนได้ปลูกตำหนักไว้ในป่า มีค่ายป้อมมากมายหากทิ้งไว้จะเกิดกลียุคได้

พระพันวษาให้กองทัพตามขุนแผน

ฝ่ายสมเด็จพระพันวษาฟังเรื่องราวและตรึกตรองดูแล้วก็ว่า เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ หากจะฟังความข้างเดียวคงไม่ถูกต้อง เมื่อคิดแล้วก็ตรัสสั่งให้ จมื่นศรี จมื่นไวยเป็นแม่ทัพยกทัพห้าพันไปดูให้แน่ชัดว่า มีตำหนักของขุนแผนจริงหรือไม่ หากเมื่อพบขุนแผนจงบอกให้เข้ามาเฝ้าเพื่อชำระความ อย่าได้กลัวว่าจะจับมาฆ่าตี หากไม่มาก็จงฆ่าแลัวตัดหัวเสียบไว้ในป่า จมื่นศรีและจมื่นไวยรับคำสั่งแล้ว เมื่อได้ฤกษ์เช้าวันรุ่งขึ้น ก็บอกให้ทุกคนรวมทั้งขุนช้าง ไปพร้อมกันที่ วัดไชยชุมพล ก่อนสี่โมงเช้าวันพรุ่งนี้ มีขุนนางชื่อ ขุนเพชรอินทรา และขุนรามก็จะต้องไปทัพในคราวนี้ด้วย เมื่อกลับมาให้เมียเตรียมเสบียงอาหาร บ่าวไพร่เตรียมช้างม้า พอค่ำก็เข้านอน เมียขุนเพชรอินทราฝันว่า ถูกฟันตัวขาดเป็นสองท่อน แล้วผ่าอกควักหัวใจขว้างทิ้ง ก็ตกใจตื่นบอกให้ผัวทำนายฝันให้ ขุนเพชรรู้ว่าฝันร้าย แต่แกล้งบอกว่านอนมากก็ฝันมาก ส่วนเมียขุนรามนั้น ฝันว่าฟันหักสามซี่ ตกใจตื่นให้ผัวทำนายฝัน ขุนรามก็แกล้งบอกว่า ที่ฝันอย่างนี้เพราะ เป็นห้วงที่จะไปทัพไกล รุ่งขึ้นเมื่อได้ฤกษ์ จมื่นศรีและจมื่นไวย ก็คุมทัพเดินทางมาถึงสามโก้ในตอนเย็น ก็ให้พักทัพหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเมื่อเดินทัพมาถึงท่าต้นไทรไม่พบขุนแผน ก็ให้เดินทัพต่อไปถึงจระเข้สามพันก็ให้พักพลอยู่ที่นั่น แล้วให้ไพร่พลดูลาดเลา ขุนช้างและศรพระยาจึงลงจากช้างขึ้นไปบนต้นไม้ ก็เห็นสีหมอกกินหญ้า ส่วนขุนแผนและนางวันทองนอนกอดกันอยู่ ทำให้ขุนช้างโกรธมาก ฝ่ายโหงพรายเห็นคนมาวุ่นวายอยู่แถวนั้น ก็ไปหลอกหลอนจนขุนช้างตกใจตกลงมาจากต้นไม้ รีบวิ่งมาบอกจมื่นศรีว่าพบขุนแผนกับนางวันทองแล้ว

จมื่นศรีให้ล้อมขุนแผน

จมื่นไวยกับจมื่นศรี ได้ฟังก็สั่งให้ไพร่พลล้อมไว้ไกล ๆ แต่อย่าพึ่งบุกเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ตีฆ้องแล้วยิงปืนดังสนั่นโหงพรายก็มาบอกขุนแผนว่า มีทัพมาล้อมไว้ ฝ่ายนางวันทอง เห็นทัพที่มีไพร่พลมากมายก็ตกใจ กอดขุนแผนร้องไห้แล้วว่า กองทัพที่มาล้อมมีไพร่พลมากมาย ขุนแผนจะไปรบกับเขาได้หรือ คงจะถูกฆ่าตายเป็นแน่ หากจะหลบหนีไปกับม้าสีหมอกก็จะไปได้อย่างไร ทั้งยังต้องมาห่วงใยตนอีก ขุนแผนจึงบอกกับนางวันทองว่า ต่อให้มีมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่กลัว จะพานางวันทองไปหลบซ่อนในป่าเสียก่อน แล้วก็อ่านพระเวทนะจังงัง พานางขึ้นนั่งบนหลังม้าสีหมอก และขี่ม้าผ่านหน้าไพร่พลของกองทัพไปโดยมีภูตพรายห้อมล้อมเต็มไปหมด ทหารก็ยืนกันเฉย เมื่อผ่านมาเห็นขุนช้าง ขุนแผนก็ชี้ให้นางวันทองดูแล้วกับบอกว่า ตนนั้นอยู่กับนางวันทองเพียงสองคน จะต่อสู่กับไพร่พลมากมายนี้ได้อย่างไร แต่เนื่องจากเพราะรักนางวันทองจึงยอมตาย แล้วขุนแผนก็จูบนางวันทองเย้ยขุนช้างเล่น
เมื่อมาถึงใต้ต้นไทร ก็พานางวันทองลงจากม้า แล้วบอกให้นางคอยอยู่ที่นี่ ตนจะออกไปดูขุนช้างก่อนจะเอาอย่างไร หากทำดีก็จะให้มีชีวิตรอดกลับไป หากอยากจะรบก็จะฆ่าให้ตาย เมื่อเสร็จศึกแล้วจะกลับมารับ จากนั้นก็อ่านพระเวทผูกใจนางวันทองไว้ แล้วเสกทรายโปรยเป็นกำแพง และถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่น แล้วเอาน้ำมนตร์ประพรมจนกลายเป็นคนมีอาวุธครบมือ

" สิ้นทัพแล้วจะกลับมารับเจ้า ครู่เดียวมันก็เข้าในป่าหาย
ว่าแล้วอ่านมนตร์สนธยาย ร่ายพระเวทผูกจิตวันทองพลัน
จึงเอาทรายปรายโปรยโรยล้อม เป็นกำแพงเพชรป้อมเขื่อนขันธ์
ถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่นพลัน ถ้วนพันวางเรียงเคียงกันไป
แล้วเสกบริกรรมสำทับ เกิดเป็นไฟวับวับดังจะไหม้
เอาน้ำมนตร์ประหุ่นลงทันใด ไฟดับหุ่นหายกลายเป็นคน
มีอาวุธครบมือถือประจำ แต่งตัวกำยำอย่างพหล
ต่างเคารพนบนอบยอบตน ขุนแผนสั่งขุนพลไปทันที"

หลังจากพวกไพร่พลทัพทั้งหน้าหลังต้องนะจังงังไปพักใหญ่ก็ได้สติ ก็ไต่ถามกัน

ขุนแผนพูดโต้ตอบกับจมื่นศรี
จมื่นศรีกับจมื่นไวยก็ขี่ช้างมา เมื่อมาใกล้ขุนแผนก็บอกขุนแผนว่า มีรับสั่งให้ยกทัพมา
จมื่นศรีกับจมื่นไวยตอบว่า พระพันวษาให้เรายกทัพมาไต่สวนเรื่องที่ลักตัวนางวันทองเมียขุนช้างมา แล้วยังคบคิดกับพวกโจรป่าหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ทั้งยังปลูกตำหนักป่า มีค่ายป้อมมากมาย และได้ฆ่าบ่าวไพร่ขุนช้างตายเป็นร้อยนับว่าเป็นกบถ ทั้งยังท้าทายให้สมเด็จพระพันวษาออกมาชนช้างด้วย สำหรับเรื่องฆ่าฟันบ่าวไพร่ของขุนช้างทรงไม่เอาโทษ แต่ให้รับขุนแผนกับนางวันทองไปแก้ข้อกล่าวหา เรื่องลักพาตัวนางวันทองมา
ขุนแผนตอบจมื่นศรีว่า เรื่องนางวันทองนั้นมันมีเรื่องยาวมาแต่ครั้งก่อน ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะผู้หญิงคนเดียว ขุนช้างยกไพร่พลมาเข้าล้อมจะไม่สู้ก็ตาย เป็นชายก็ไม่ควรหนี จึงได้เข้าต่อสู้จนบ่าวไพร่แตกหนีไปในป่าไม่ได้ไล่ฟัน แต่ขุนช้างกลับไปทูลว่า เราฆ่าฟันบ่าวไพร่ ที่มีรับสั่งให้มารับตัวกลับไปนั้น หากมีอาญาก็ไม่มีใครช่วยได้ ขอให้ท่านจงยกทัพกลับไปก่อน เมื่อหายกริ้วแล้วก็จะตามเข้าไปเฝ้า
ฝ่ายจมื่นศรีกับจมื่นไวย ได้ฟังขุนแผนก็บอกว่า ขุนแผนนั้นเป็นคนดีมีวิชาคงจะเข้าใจ หากพระพันวษารู้ว่า พบแล้วไม่พาตัวกลับไปก็จะพิโรธ ความเก่าของขุนแผนก็ยังมีผิดติดตัวอยู่ พระองค์อาจจะเห็นเข้าข้างขุนช้างได้ ควรจะรีบเข้าไปเฝ้าเพื่อแก้ไขมลทินให้หมด หากดื้อดึงก็จะใช้กำลังจับไป
ขุนแผนได้ฟังก็คิดว่า หากขัดขืนก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ จึงเบี่ยงบ่ายว่าตนนั้นกลัวพระอาญา หากจมื่นศรีกับจมื่นไวยไม่กรุณา คิดแต่จะใช้กำลังจับตนไปก็จนใจ

จมื่นศรีสั่งจับขุนแผน
จมื่นศรีกับจมื่นไวยได้ฟังก็ให้ไพร่พลล้อมจับเป็น ขุนแผนก็อ่านมนต์และตวาดอำนาจครุฑ ผู้คนก็หยุดยืนนิ่งอยู่ แล้วขุนแผนก็ชักสีหมอกไว้ไม่เข้ารบ เพราะเกรงจะเป็นคนทรยศ
ฝ่ายขุนเพชรกับขุนราม ซึ่งเป็นทัพปีกซ้ายและปีกขวาคิดว่าขุนแผนจะคิดขบถยึดเมือง จึงขับช้างเข้ามาเป็นปีกกา ล้อมขุนแผน กล่าวประนามขุนแผนด้วยประการต่าง ๆ และลามปามไปถึงขุนไกรกับนางทองประศรี พ่อแม่ของขุนแผน แล้วก็ขับช้างเข้าไปหาขุนแผน

กองทัพแตกหนีขุนแผน
ขุนแผนได้ฟังก็แค้นใจมากจึงร่ายเวทเรียกหุ่นออกมาจากดงรัง หลังจากสู้รบกัน ขุนแผนฆ่าขุนเพชรกับขุนรามตาย ทัพของจมื่นศรีกับจมื่นไวยแตกพ่ายเข้าป่า จากนั้นขุนแผนก็ขี่ม้าสีหมอกกลับไปหานางวันทอง แล้วบอกว่าได้ฆ่าขุนเพชร กับขุนรามตาย

".....ขุนรามแทงกรอกด้วยหอกใหญ่ ถูกไหล่ไม่ถนัดสบัดหัน
ขุนแผนถาโถมเข้าโรมรัน ฟันขุนรามตกช้างลงกลางดิน
โดดจากหลังม้าฟาดบ่าฉับ ล้มพับฟันซ้ำคมำดิ้น
ขุนรามสิ้นใจเลือดไหลริน สิ้นคนหนึ่งแล้วไอ้ตัวการ....."

ส่วนขุนช้างนั้นไม่ได้ฆ่าเพราะเกรงใจนางวันทอง ฝ่ายกองทัพที่หลบหนีมาก็ไปคอยกันอยู่ที่สามโก้ คนที่กลับมาครบคงเหลืออยู่เพียงห้าร้อยคน แล้วจึงเดินทางกลับไปอยุธยา

จมื่นศรีเข้าเฝ้า
รุ่งขึ้น จมื่นศรีกับจมื่นไวยและขุนช้างไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา เมื่อสมเด็จพระพันวษาเสด็จออกไม่เห็น ขุนเพชรและขุนรามก็ตรัสถาม รวมทั้งเรื่องขุนแผนด้วย จมื่นศรีกับจมื่นไวยก็ทูลว่าได้ยกทัพถึงตำบลต้นไม้ไทร พบขุนแผนและนางวันทองพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไทร ไม่เห็นมีพลับพลาและค่ายอย่างที่ขุนช้างทูล แล้วก็ไม่มีโจรป่าอีกด้วย เมื่อไปถึงก็จัดทัพล้อมไว้ ขุนแผนได้พานางวันทองขึ้นม้าหนีออกไป เมื่อตามไปก็ไม่เห็นนางวันทอง พบแต่ขุนแผนก็บอกแต่ขุนแผนว่า พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อตัดสินความเรื่องนางวันทอง ขุนแผนได้ตอบว่า นางวันทองเป็นเมียขุนแผน โดยได้แต่งงานปลูกหออยู่ด้วยกัน จนกระทั่งขุนแผนต้องถูกทัพไปรบที่เชียงทอง ขุนช้างกลับลวงว่าขุนแผนตาย จนนางศรีประจันยกนางวันทองเป็นเมียขุนช้าง เมื่อขุนแผนตามมาเอาเมียคืนไป ขุนช้างก็ยกบ่าวไพร่ตามไปพบที่ใต้ต้นไทรแล้วให้บ่าวไพร่ฆ่าฟัน ขุนแผนก็ต้องตอบโต้ ส่วนขุนเพชรกับขุนรามนั้น ไปกล่าวหยาบหยาม ลำเลิกว่าขุนแผนลักพานางวันทองและคิดเป็นกบถ และลำเลิกถึงโคตรเง่าของขุนแผน แล้วขี่ช้างเข้าจะตัดหัวขุนแผน ขุนแผนสู้หนีถึงสามครั้ง ก็ยังถูกขุนเพชรและขุนรามตามไล่ล่าฆ่าอีก จึงเข้าต่อสู้แล้วฆ่าขุนเพชรกับขุนรามตาย ไพร่พลก็หนีกกระจัดกระจาย และตายไปถึงสี่พันห้าร้อยกว่าคน
พระพัสมเด็จพระพันวษา ได้ฟังเรื่องราวก็โกรธมาก แล้วว่าทัพไปตั้งมากมายสู้ขุนแผนคนเดียวไม่ได้ เลี้ยงไว้เสียข้าวสุก แล้วให้ฝ่ายกลาโหมและฝ่ายมหาดไทย ให้มีหนังสือไปทั่วทุกจังหวัดทั้งในหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา ว่าหากใครเห็นขุนแผนให้จับตัวมาเป็นเป็น แล้วบอกรูปพรรณสัณฐานของขุนแผนให้ทุกคนรู้ด้วย

พระพันวษาให้กักด่านขุนแผน
ฝ่ายขุนแผนก็อาศัยอยู่กับนางวันทองที่ในป่า คืนหนึ่งนางวันทองฝันว่า เอื้อมมือไปในอากาศ หยิบดวงอาทิตย์มากินแล้วกลืนลงไป และมีชายคนหนึ่งมาควักตาข้างขวาทิ้งไป แต่เอาดวงอื่นมายื่นให้แต่ก็ยังมืดมัวกว่าเก่า ให้ขุนแผนทำนายฝันให้ ขุนแผนฟังแล้วเห็นว่า ความฝันมีทั้งดีและร้าย ที่เอาดวงอาทิตย์มากินจะได้ลูกชายที่มีฤทธ์ และเป็นที่พึ่งพาในภายภาคหน้า ส่วนที่ฝันว่าถูกควักตานั้น จะมีความลำบากมากในวันข้างหน้า แต่เรื่องร้ายนี้ขุนแผนกลัวนางวันทองจะกลุ้มใจ จึงบอกแต่ว่าฝันดี

ขุนแผนลุแก่โทษ
ฝ่ายนางวันทองรู้ว่าตนท้องก็คิดว่า หากอยู่บ้านก็จะมีความสุข แต่หากอยู่ในป่าก็จะมีความลำบาก จึงร้องให้ เมื่อขุนแผนเห็นนางวันทองร้องไห้ก็แปลกใจที่นางท้องแล้วทำไมต้องร้องไห้ แต่ก็ปลอบนางว่า เราจะอยู่ที่นี่กันอีกไม่นาน แต่ต้องไปหลบอยู่ตามภูเขาไม่ให้ใครมาพบ จนกว่าสมเด็จพระพันวษาจะหายพิโรธ แล้วก็เรียกภูตพรายมาบอกและพานางขี่ม้าสีหมอกออกจากป่าไป จนล่วงไปหลายเดือนครรภ์นางวันทองแก่ถึงเจ็ดเดือน ขุนแผนก็เกิดความสงสารลูกในท้องของนางวันทองมาก นางวันทองเห็นขุนแผนหม่นหมอง จึงถามว่า ร้องไห้ทำไมหรือไม่อยากอยู่กับนางแล้ว ขุนแผนบอกว่าไม่เคยคิดจะไปจากนาง เพราะตนรักนางเหมือนดวงใจ เคยรักมาอย่างไรก็ยังคงรักอยู่ แต่ที่ร้องไห้นั่นก็เพราะคับแค้นใจมากที่เห็นท้องของนางวันทองแก่มาก คงจะคลอดลูกในไม่ช้า แต่ต้องมาอยู่ในป่า ห่างบ้านไม่มีหยูกยา ที่นอนหมอนมุ้ง ต้องกรำแดดกรำฝนก็คิดสงสารลูก

ขุนแผนพาวันทองไปหาพระพิจิตร
เมื่อคลายเศร้าโศกแล้ว ขุนแผนก็คิดได้ว่า มีข่าวว่า พระพิจิตรบุษบาเป็นคนใจดี ใครขัดสนก็ไปขอพึ่งพาได้ดังนั้นจะไปพึ่งพา หากจะถูกส่งไปอยุธยาก็ไม่เป็นไร เพราะตนยังมีความดีอยู่มาก แล้วก็พานางวันทองไปเมืองพิจิตร

"สิบวันดั้นพนมพนาวา ชักม้าเข้าพิจิตรบุรี
พอถึงวัดจันทร์ตะวันพลบ แวะเคารพรูปพระชินสีห์"

ฝ่ายพระพิจิตรอยู่กับลูกเมียที่บ้าน เมียของพระพิจิตรนั้นกำลังท้องได้ห้าเดือนขุนแผนก็กำบังตัวและนางวันทอง มาจนถึงประตูบ้านแล้วคลายพระเวท คลานเข้าไปหาพระพิจิตร เมื่อถึงตัวพระพิจิตรก็ร่ายพระเวทไป ส่วนพระพิจิตรเห็นหญิงชายเข้ามาไหว้ ก็ถามว่าจะไปไหนกัน บ้านช่องอยู่ที่ไหน แล้วทั้งสองคนเป็นอะไรกัน
ฝ่ายขุนแแผนกับนางวันทองก็กราบลง แล้วขุนแผนก็บอกว่าตัวชื่อขุนแผน ส่วนหญิงนั้นเป็นนางวันทอง แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย
ฝ่ายพระพิจิตร ได้ฟังผัวเมียเล่าเรื่องราวและประกอบกับทั้งพระเวท ทำให้นึกรักคนทั้งสองเหมือนลูก แล้วพาขึ้นไปบนจวนสั่งบ่าวไพร่ให้หาอาหารมาต้อนรับ แล้วให้พักที่เรือนที่ต่อออกมาจากเรือนเดิมอย่างเป็นสุข

นางแก้วกิริยาไถ่ตัวจากขุนช้าง
ฝ่ายนางแก้วกิริยาเมื่อได้เงินจากขุนแผนมาสิบห้าชั่ง ก็ได้เอาไปไถ่ตนเองจากขุนช้างแล้วเดินทางไปอยู่กรุงศรีอยุธยา กับเพื่อนบ้านชายใดเห็นก็รัก แต่นางไม่สนใจเพราะตนมีผัวอยู่แล้ว และได้ทำมาหากินโดยขายผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อยู่ที่นั่น

ขุนแผนขอให้พระพิจิตรบอกส่งกรุง
ฝ่ายขุนแผนได้มาอยู่จวนพระพิจิตรอย่างสุขสบาย วันหนึ่งก็คิดขึ้นว่าแม้ว่าพระพิจิตรจะรักใคร่ตนเหมือนลูก แต่นานเข้าความเก่าก็จะเปิดเผยขึ้น เพราะพระพันวษายังทรงพิโรธอยู่คงกำชับให้กรมการหรือทางด่านคอยสืบหา เพื่อจับไปในวัง ด้วยมีโทษฆ่าคนตายมากมาย ซึ่งทำให้พระพิจิตรเดือดร้อนไปด้วย จึงปรึกษานางวันทองว่าหากอยู่ที่พิจิตรต่อไป ก็จะเกิดอันตรายในภายหน้าได้ ตนจะไปบอกให้พระพิจิตรส่งตัวลงไปอยุธยาเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของขุนช้าง และการที่เข้าไปเองนี้จะทำให้โทษเบาลงก็ได้ ที่ทำลงทั้งหมดนี้ก็เพราะรักนางวันทองจึงเอาชีวิตเข้าแลก หากจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา
นางวันทองได้ฟังขุนแผนพูดก็ร้องไห้ แล้วว่าพวกเรานั้นมีความผิดโทษถึงประหาร พวกแตกทัพกลับไปคงทูล ว่าพวกเราเป็นกบถ หากจำเป็นจะต้องลงไปอยุธยาก็คงจะต้องตาย ตนเองก็ไม่กลัวในข้อนี้ กลัวอยู่อย่างเดียวคือ จะจับส่งให้อยู่กับขุนช้าง ขุนแผนได้ฟังก็ปลอบนางวันทองว่า หากจะส่งนางวันทองไปให้ขุนช้าง ตนก็ตามไปฆ่าไม่ให้ขุนช้างได้นางวันทองไป แล้วจึงชวนนางวันทองเข้าไปหาพระพิจิตร ขุนแผนได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง แล้วว่าที่พระพิจิตรได้ปิดบังโดยมีตนอาศัยอยู่ในบ้าน หากพระพันวษาทรงรู้เข้าก็จะเกิดอันตรายได้ ฉะนั้นขอให้พระพิจิตรพาไปส่งที่อยุธยา
เมื่อพระพิจิตรได้ฟังก็บอกกับขุนแผนว่า เดิมจะขอตัวไว้ช่วยราชการสงคราม แต่ขุนแผนนั้นมีคดีติดตัว ก็จะหาว่าตนเข้ากับคนผิด แต่จะส่งขุนแผนไปอยุธยาก็สงสาร อย่างไรก็ตามหากส่งไปพระพันวษาคงต้องทรงไต่ถามความจริงก่อนที่จะลงโทษ และเมื่อพระองค์รู้ความจริงคงไม่พิโรธ แต่ข้อรับสั่งนั้นบอกกำชับให้จับทั้งขุนแผนและนางวันทองส่งไปอยุธยา พบเมื่อไรให้จับจองจำไว้เมื่อนั้น แต่เมื่อขุนแผนกับนางวันทองตกลงใจดังนี้ ตนก็จะเขียนคำให้การที่เป็นความจริง โดยมิให้ทั้งสองคนมัวหมอง เมื่อเสร็จเรื่องแล้วก็ขอให้ทั้งสองคน ขึ้นมาอยู่ที่พิจิตร แล้วพระพิจิตรก็ให้ผู้คุมทำหนังสือแจ้งความต่อหน้าขุนนางที่ศาลากลาง แล้วให้ผู้คุมนำหนังสือพร้อมคุมตัวขุนแผนกับนางวันทองลงไปอยุธยา โดยบอกว่าหากยังไม่ถึงอยุธยายังไม่ต้องจองจำ
ขุนแผนกับนางวันทองก็ลาพระพิจิตรและนางบุษบา แล้วไปลาม้าสีหมอก แล้วเดินทางไปกับผู้คุมไปอยุธยา
ฝ่ายนางแก้วกริยา เฝ้าคอยขุนแผนจนเกือบปีก็ไม่เห็นมา วันหนึ่งเป็นวันพระ นางก็ไปวัดฟังธรรมเทศนา เห็นคน ยืนมุงกันแน่น ก็เข้าไปดูเห็นขุนแผนและนางวันทองแต่จำไม่ได้ ขุนแผนก็จำนางได้คลับคล้ายคลับคลา แต่นางวันทองจำนางแก้วกิริยาได้ แต่อายไม่กล้าทัก นางแก้วกิริยาได้ยินคนพูดกันว่าได้ขุนแผนมา ก็เข้าไปกอดเท้าร้องไห้



ขุนแผนชนะความขุนช้าง


ขุนแผนเข้าเฝ้า
จมื่นศรีเห็นขุนแผนก็เรียกผู้คุมเอาหนังสือออกอ่าน แล้วก็พาเข้าไปเฝ้าพระพันวษา
รุ่งขึ้น พระพันวษาเสด็จออกขุนนาง จมื่นศรีกราบทูลว่า ได้ตัวขุนแผนมาแล้ว พระพันวษาได้ฟังก็โกรธ หาว่าขุนแผนนั้นถือว่าตนมีวิชาดี ใครสู้ไม่ได้ ลักเมียขุนช้างไป แล้วไล่ฆ่าฟันคน หากเก่งกล้านักทำไมไม่เหาะหนีไป
จมื่นศรีกราบทูลว่า ขุนแผนได้ไปมอบตัวกับพระพิจิตร และบอกว่าตนไม่ผิด ขอให้ส่งตัวมาอยุธยาด้วย และเมื่อพระพิจิตรไต่ถามนางวันทองก็ให้การตรงกัน
ฝ่ายพระพันวษาได้ฟังข้อความในใบบอกก็คลายพิโรธลง สั่งให้นำตัวขุนแผนกับนางวันทองเข้ามา เมื่อขุนแผนและนางวันทองมาเข้าเฝ้าพระองค์ก็ไม่หันมามอง ขุนแผนจึงอ่านมนตร์บันดาลพระทัยให้หายโกรธ พระพันวษาจึงหันพระพักตร์มามองแล้วตรัสถามว่า ที่กลับมานี่จะมาแก้ข้อกล่าวหาหรือ

ชำระความขุนช้างขุนแผน
ขุนแผนกราบทูลว่า หากนางวันทองไม่ใช่เมียก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงว่า พระองค์ทรงยกโทษผิดให้เรื่องที่ฆ่าขุนเพชรและขุนราม ส่วนเรื่องขุนช้างนั้นให้สู้ความกัน แล้วให้ตำรวจวังไปพาตัวขุนช้างมา เมื่อเห็นนางวันทองท้องแก่ ก็ตู่ว่าเป็นลูกของตัวเอง เมื่อถึงเวลาลูกขุนก็มานั่งกันพร้อมหน้า ผู้คุมก็คุมขุนแผนและนางวันทองออกมาฟังข้อกล่าวหาของขุนช้าง ขุนแผนแก้ว่าไม่เป็นความจริง จากนั้นก็ซักถามทุกคน รวมทั้งนางวันทอง และนางวันทองก็ให้การตรงกับขุนแผน แต่จมื่นศรีคิดว่า นางวันทองนั้นเป็นหญิงใจโลเล อยู่กับชู้ก็เข้าข้างชู้ อยู่กับผัวก็เข้าข้างผัว

ตัดสินความขุนช้างขุนแผน
รุ่งขึ้นคณะลูกขุนก็ให้ไปเบิกพยานคือ นางศรีประจัน ยายกลอย และยายสา มาให้การเมื่อคณะลูกขุนซักพยาน เสร็จก็พาทั้งหมดเข้าเฝ้ากราบทูลพระพันวษาว่า ตนได้ซักถามโจทย์ จำเลย และพวกพยานแล้วเห็นว่า ขุนช้างนางศรีประจัน ยายกลอย และยายสา เป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียทรัพย์ชดใช้แก่ขุนแผนตามศักดิ์ของขุนแผน และชดใช้ค่าถูกประจานให้แก่นางวันทอง แต่หากขุนแผนไม่รับจะฆ่าขุนช้างเสียก็ได้
สมเด็จพระพันวษา จึงรับสั่งถามว่า ขุนแผนอยากจะฆ่าขุนช้างหรือไม่ ขุนแผนทูลว่าไม่อยากเป็นเวรกรรมต่อกัน จะขอรับแต่สินไหมและพินัยเท่านั้น
เมื่อเสียค่าปรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขุนช้างก็เข้าไปกระซิบกับจมื่นศรีว่า เงินทองที่เสียเป็นค่าปรับไปนั้นไม่เสียดาย เสียดายแต่นางวันทอง หากช่วยให้ตนได้นางวันทองกลับคืน ก็จะให้เงินยี่สิบชั่งเป็นค่าตอบแทน แต่จมื่นศรีไม่ยอมช่วย

ขุนแผนครวญถึงนางลาวทอง
ขุนแผนนางวันทองและนางแก้วกริยา หลังจากชนะความได้อาศัยอยู่ที่บ้านจมื่นศรี จนวันหนึ่งจะเกิดเหตุร้าย ทำให้คืนนั้นขุนแผนนอนไม่หลับ คิดถึงแต่นางลาวทองที่ต้องจากไปลำบากอยู่ในวัง จนรุ่งเช้าก็ไปหาจมื่นศรี ขอให้ทูลพระพันวษาขอตัวนางลาวทองออกมา จมื่นศรีจึงว่าควรรออีกสักปีคงจะดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะไปมีชู้ เพราะอยู่ในวัง " เหมือนดับไฟไม่ทันจะสิ้นเปลว ด่วนเร็วจะกำเริบเมื่อภายหลัง "
ขุนแผนตอบจมื่นศรีว่า ตนไม่ได้คิดเรื่องอื่น แต่คิดว่านางลาวทองนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ที่ต้องถูกขังก็เพราะพระพันวษาพิโรธตน เมื่อตนพ้นโทษแล้ว นางก็ยังอยู่ในวัง ก็เหมือนมาหลงเมียอยู่นอกวัง ลืมนางลาวทอง
ฝ่ายจมื่นศรีฟังขุนแผนแล้ว ก็รู้ว่าไม่สามารถห้ามปรามได้ ก็คิดว่าแล้วแต่วาสนา จึงพาขุนแผนไปเข้าเฝ้า แล้วจมื่นศรีก็ทูลเนื้อความตามที่ขุนแผนร้องขอ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น